TrueID
TH
รีเซต
ผลการค้นหา “莱特州立大学Diploma in Marketing(证件网:bzw985.com)-莱特州立大学Diploma in Marketingy2(证件网:zjw211.com)-天津塘沽莱特州立大学Diploma in Marketing-哪里办莱特州立大学Diploma in MarketingU0” - ทรูไอดี
ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
อ่าน
รีวิวหนังสือ การตลาด 3.0 (Marketing 3.0)
นานๆ จะได้มีโอกาสอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตลาดสายตรงสักหนึ่งเล่ม เพราะส่วนใหญ่หยิบจับไร ขึ้นมาก็จะไปแนวการลงทุน บริหารเงิน บริหารธุรกิจซะมากกว่า หนังสือ การตลาด 3.0 เล่มนี้ จะให้มุมมองทางการตลาดตั้งแต่อดีต (การตลาด 1.0) ปัจจุบัน (การตลาด 2.0) และอนาคต (การตลาด 3.0) หนังสือ การตลาด 3.0 (Marketing 3.0) เขียนโดยปรมาจารย์ทางด้านการตลาด คุณ Philip Kotler ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวทางการตลาด ที่ไม่ใช่เป็นหนังสือ How To แต่เป็นการไล่เรียงประวัติศาสตร์ทางการตลาดและการเปลี่ยนแปลงทางการตลาดในแต่ละยุค ซึ่งเนื้อหาในเล่มจะประกอบไปด้วยสามส่วนที่สำคัญ คือ ส่วนที่ 1 แนวโน้ม (Trends) จะบอกที่มาของการตลาดตั้งแต่ ยุค 1.0 ถึงยุค 3.0 ส่วนที่ 2 กลยุทธ์ (Strategy) ที่เราจะต้องใช้ไม่ใช่ในแง่ของการสร้างยอดขายอย่างเดียว แต่ต้องรวมทั้งการดูแลสังคม พนักงาน คู่ค้าและสิ่งแวดล้อมด้วย และ ส่วนที่ 3 ประยุกต์ใช้ (Application) การนำหลักการทางการตลาดมาใช้ให้เกิดผลที่นอกจากจะมองลึกในแง่ผลประกอบการแล้ว เรายังต้องมองในแนวกว้างที่การทำธุรกิจของเราส่งผลกระทบกับใครบ้างสำหรับผม การตลาด 3.0 เล่มนี้ ชอบที่มันอ่านแล้วเข้าใจง่าย เห็นภาพ สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นนักการตลาดอย่างเรา เพราะอาจจะไม่ได้เน้นในเรื่องทฤษฏี หรือประเภท How to ทางการตลาด ที่มักจะเป็นแผนภาพ ไดอะแกรม ที่แลดูเครียด เข้าใจยาก ที่เหมาะกับสายอาชีพทางการตลาดโดยตรงซะมากกว่า เอาเป็นว่าอ่านเล่มนี้เข้าใจประวัติศาสตร์การตลาดและความเป็นไปของการตลาดในอนาคตมากขึ้น ซึ่งโดยสรุปแล้ว การตลาด 3.0 จะหนักไปทางด้านการบริหารงานทางด้านการตลาด มากกว่าวิธีการทำการตลาด (How to) โดยทุกวันนี้เรามักจะเห็นโฆษณาของสินค้าต่างๆ ที่เริ่มจะไม่เน้นข้อดีของสินค้าต่อผู้บริโภคด้านเดียวแล้ว แต่ยังจะเน้นไปถึงข้อดีที่สินค้าชิ้นนี้คืนให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับการตลาด 3.0 เล่มนี้ สำหรับ หนังสือ การตลาด 3.0 ท่าจะบอกว่าเหมาะกับนักการตลาดทุกคน อันนี้คงไม่ต้องพูด เพราะชื่อหนังสือมันก็บอกอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่นักการตลาด ถ้าอยากจะหาหนังสือการตลาดสักเล่ม ต้องขอแนะนำเล่มนี้ไว้เลยครับ และก็เหมาะมากเช่นกันสำหรับนักลงทุน ที่จะต้องซื้อหุ้นของบริษัทที่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน นักลงทุนจึงต้องมีความรู้ในเรื่องการตลาดด้วย จะได้ตรวจสอบได้ว่าเขามีการบริหารงานทางด้านการตลาดที่ทันยุคทันสมัยหรือไม่ สำหรับใครที่สนใจอยากลองอ่านหนังสือ การตลาด 3.0 ในแบบ e-book คลิกเลย !!!ตามไปอ่านรีวิวหนังสือเล่มอื่นๆ ได้ที่ iYom BookViews เครดิตรูปทั้งหมดรูปที 1 (รูปภาพโดยผู้เขียน)รูปที่ 2 (รูปภาพโดยผู้เขียน)รูปที่ 3 (Photo by Joshua Rawson-Harris on Unsplash)รูปที่ 4 (รูปภาพโดยผู้เขียน)
NiYom • 21 พ.ค. 63
อ่าน
เข้าใจความหมายของ Marketing ได้ง่าย ๆ แค่แยกคำออกจากกันซะ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการตลาด หรือ Marketing นั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อโลกเราทุกวันนี้ ไปไหนก็จะได้ยินคำว่าการตลาด หรือ มาร์เก็ตติ้งอยู่เรื่อย ๆ ทั้งเข้าใจถูกบ้างผิดบ้างก่อนจะเริ่มเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ เกี่ยวกับการตลาด อันดับแรกเรามาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า “การตลาด” หรือ “Marketing” กันก่อนดีกว่า จริง ๆ แล้วมีนักการตลาดและตำราเรียนมากมายที่ได้ให้นิยามของคำว่าการตลาดที่หลากหลายแต่ยังคงคอนเซ็ปท์คล้าย ๆ กัน เดี๋ยวเราจะมาดูกันสัก 3 ตัวอย่าง จากสามหนุ่ม สามมุมในแวดวงการตลาดระดับโลกกันหน่อย … แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าถ้าคนที่ไม่ได้เรียนด้านนี้มา อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจถือว่าไม่แปลกนะคะเอ้า !!! เริ่ม !!!!"การตลาดเป็นขบวนการค้นหาความจำเป็นและความต้องการของมนุษย์ และวิเคราะห์ออกมาเพื่อที่จะหาสินค้าหรือบริการที่มาสนองตอบความต้องการนั้น ๆ" Harry L. Hansan "การตลาดเป็นกิจกรรมทางธุรกิจที่ทำให้สินค้าหรือบริการผ่านจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค เพื่อสนองความต้องการและทำความพอใจให้กับผู้บริโภคตลอดจนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของบริษัทด้วย" McCarthy ส่วน Phillip Kotler บิดาแห่งการตลาดกล่าวว่า การตลาด หมายถึง “การทำกิจกรรมกับตลาดเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบำบัดความต้องการ และสนองต่อความจำเป็นของมนุษย์ทำให้เกิดความพึงพอใจ” อื้อหือ..เป็นไงบ้างคะถ้าใครอ่านถึงตรงนี้แล้วเข้าใจนิยามของการตลาดก็ขอแสดงความยินดีด้วย แต่ถ้าใครอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าลืมมันไปซะ มันมีวิธีคิดที่ง่ายกว่านั้น แค่ทำสอง Step ดังนี้1. แปลคำว่า "การตลาด" เป็นภาษาอังกฤษ ก็คือ "Marketing" และ ...2. แยก Market กับ ing ออกจากกัน เท่านี้คุณก็เข้าใจความหมายของการตลาดแล้ว เอ้า งง สิ งง ! ไม่ต้องงงนะ ค่อย ๆ หายใจลึก ๆ แล้วคิดตาม ช้า ช้าาาา ...MARKET + ING MARKET แปลว่า ตลาด ลองหลับตาแล้วนึกภาพตามนะ Zzzนึกถึงภาพตลาดที่มีการซื้อขายผักสดปลาสด ขายผลไม้สด กันมากมายหลายเจ้า จะเห็นว่ามีการซื้อขายสินค้าพอลูกค้าเลือกปลาเสร็จก็จ่ายเงินแม่ค้าทีนี้ก็แค่ลองเปลี่ยนตัวละครจากผักสดปลาสดเป็นอย่างอื่น ก็เป็นการเปลี่ยนชนิดของตลาดแล้ว เช่น ซื้อขายอุปกรณ์ไอทีก็เรียกว่าเป็นตลาดไอที, ซื้อขายชานมไข่มุกก็เรียกว่าตลาดชานมไข่มุก หรือจะเป็นการบริการอย่างสปา, โรงแรม, ทัวร์ ก็ว่ากันไปว่าแต่หลับตาอ่านรู้เรื่องด้วยเหรอ เก่งจัง 55555ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/architecture-booth-buildings-commerce-439818/ING ล่ะในส่วนของ ing นั้น… โอเค…เราไม่ได้มาสอนแกรมมาร์ แต่ถ้าใครอยากเรียนภาษาอังกฤษติดต่อเรามาได้นะ โทรเลย 084-417… (ไม่เอาสิ ไม่ขาย ๆ)เข้าเรื่อง “ing” ก็คือ การทำกิจกรรมอะไรสักอย่างกับตลาดนั้น จำคำนี้ไว้ดี ๆ "ING คือ การทำกิจกรรมกับตลาดที่เราสนใจ" สำคัญนะเพราะ ING เป็นเนื้อหา 90% ในการเรียนรู้การตลาดเลยล่ะจบ ... เอ้าทำไมจบไวงี้ล่ะ 55555 เฮ้ย จบแล้วจริง ๆขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/man-wearing-pink-polo-shirt-with-text-overlay-1114376/สรุปMarketing หรือ การตลาด ก็คือคุณจะต้องหาตลาดที่คุณสนใจ ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร, เสื้อผ้า, ของอุปโภคบริโภค, ดนตรี หรืออะไรก็ตาม เมื่อคุณได้ Market แล้ว จากนั้นคุณก็เติม ing ให้มัน ก็คือทำกิจกรรมอะไรก็ตามความเหมาะสมกับตลาดนั้น ซึ่งมีวิธีเป็นล้านแปด เช่นที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือเรื่อง 4P (เดี๋ยวเราจะพูดถึงเรื่องนี้กันต่อไป) โดยอย่างที่บอกว่า 90% มันเป็นเรื่องของวิธีการทางการตลาดเลยว่าจะใช้กลยุทธ์อะไรบ้าง ซึ่งแต่ละวิธีก็มีบางอันเลิกใช้ไปแล้ว หรือเพิ่งผุดขึ้นมาตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป"หา MARKET ที่สนใจ และไปคิดวิธีเติม ING ให้มันซะ"นอกจากการตลาดคือการเติม ing เข้าไปใน market แล้ว อย่าลืมว่าจะต้องทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ย้ำ!!! คำว่ายั่งยืน คืออยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่างสง่าผ่าเผย เป็นตัวแม่ เป็นดาวค้างฟ้า ดังนั้นการตลาดที่ดีต้อง No โกง No สร้างภาพ No ปั่นกระแส No เล่นสกปรกนะจ๊ะที่รัก ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/street-lights-802024/การตลาดที่แท้ทรูจะแคร์ผู้บริโภค และมีจริยธรรม (เพราะถ้าขาดจริยธรรมธุรกิจก็จะไม่ยั่งยืน) การตลาดที่แท้ทรูจะต้องไม่มี "เหยื่อการตลาด" คำนี้พูดเล่นขำ ๆ อ่ะได้ ประมาณว่าการตลาดดีจนทำให้ลูกค้าหลงใหล เคลิ้ม แต่อย่าให้ลูกค้าคิดว่าเขาเป็นเหยื่อเราจริง การตลาดที่ดีจะต้อง win-win ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายนะ การตลาดที่แท้ทรูไม่ใช่การสร้างภาพ ใครพูดว่าการตลาดต้องสร้างภาพอนุญาตให้ตบปากคนพูดเบา ๆ 2 ที (หลอก ๆ อย่าทำจริงนะเห้ย)แล้วเรามาพบกันใหม่ในบทความหน้าบทความโดย โอ้Facebook : fb.me/justlearntogetherYouTube : https://bit.ly/2PpkbZuIG : kanziri
กาญจน์ศิริ เพ็งชัยเจริญ • 22 พ.ย. 62
อ่าน
ผถห.NCL อนุมัติลงทุน ธุรกิจ Digital Marketing & IT infrastructure
ทันหุ้น - ผู้ถือหุ้น บมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ (NCL) พร้อมใจยกมือโหวตอนุมัติให้บริษัทเข้าลงทุน ในธุรกิจ Digital marketing IT infrastructure มูลค่ารวม 250 ล้านบาท ด้วยวิธีแลกหุ้นพีพี จำนวน 72,518,676 หุ้น คิดเป็น 13.46% พร้อมถือหุ้น บริษัท ชีส ดิจิตอล เน็ตเวิร์ค จำกัด (CDN) สัดส่วน 25% ผ่านบริษัท บีโอบี โฮลดิ้ง จำกัด ฟากเอ็มดี "พงษ์เทพ วิชัยกุล" ระบุ การลงทุนในครั้งนี้ ส่งเสริมขีดความสามารถด้านการแข่งขัน สร้างฐานกระแสเงินสด สนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น นายพงษ์เทพ วิชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (NCL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2565 มีมติอนุมัติให้ลงทุนในกิจการที่ประกอบธุรกิจให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ของบริษัท บีโอบี โฮลดิ้ง จำกัด (BOB) ซึ่ง BOB ถือหุ้นของบริษัท ชีส ดิจิตอล เน็ตเวิร์ค จำกัด (CDN) ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ Digital Marketing Services จำนวน 125,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 25% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว โดยธุรกิจของ CDN แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. Digital content gateway หรือ บริการสนับสนุนดิจิทัลคอนเทนต์ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยแพลตฟอร์มจัดการข้อมูล ข่าวสาร สาระ และความบันเทิงแบบครบวงจร 2. Digital solution หรือ บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับองค์กร ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่ง CND ได้รับความไว้วางใจจากภาครัฐและเอกชนให้พัฒนาเครือข่ายขนาดใหญ่, ดิจิทัลคอนเทนต์, แพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์, และระบบเทคโนโลยีอื่นๆ และ 3. Digital Agency หรือ บริการวางแผน, จัดทำ, และบริหารสื่อโฆษณาออนไลน์แบบ One-Stop Service เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ของลูกค้าเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ CDN ยังเป็นเจ้าของเว็บไซต์ ไลฟ์สไตล์คอนเทนต์ รายแรกๆของประเทศอย่าง edtguide.com ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการสื่อสารกับกลุ่มวัยรุ่นที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล สำหรับรายละเอียดในการลงทุนในครั้งนี้ NCL จะชำระค่าตอบแทนให้แก่ BOB จำนวน 250,189,432.20 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 72,518,676 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 13.46% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด โดยเสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) เพื่อชำระค่าตอบแทนดังกล่าว ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทฯได้กำหนดกรอบราคาเสนอขายเท่ากับร้อยละ 90 ของราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นสามัญของบริษัทย้อนหลัง 7 วันทำการก่อนวันประชุมคณะกรรมการบริษัทแต่ไม่ต่ำกว่า 3.45 บาทต่อหุ้น และคาดว่าการรับโอนกิจการในครั้งนี้จะดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาส 2/2565 ที่ผ่านมาธุรกิจของบริษัทฯเติบโตอย่างต่อเนื่องจากธุรกิจ Logistics ที่ได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของค่าบริการขนส่งระหว่างประเทศที่พุ่งสูงขึ้น และปัจจัยการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังไม่คลี่คลาย ประกอบกับธุรกิจ Non-Logistics อื่นๆ เป็นตัวช่วยเสริมมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์และกำไรให้กับบริษัทฯ การที่บริษัทเข้ามาลุยธุรกิจ Digital Marketing IT infrastructure ในครั้งนี้เนื่องจากบริษัทฯเล็งเห็นว่าธุรกิจ Digital นั้นมีศักยภาพในการเติบโตสูง ตลอดจนสามารถสร้างกระแสเงินสดให้แก่กลุ่มบริษัทฯ ได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องในระยะยาว เห็นได้จากรายได้ของ CDN ที่สูงถึง 390 ล้านบาทต่อปี และมีอัตรากำไรขั้นต้นกว่า 43% ในปี 2562 ทำให้เชื่อมั่นว่าการลงทุนนี้จะเข้ามาช่วยหนุนให้เครือธุรกิจของ NCL เติบโตอย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น จึงอยากให้ผู้ถือหุ้นได้เติบโตไปพร้อม ๆ กับบริษัทฯ นายพงษ์เทพ กล่าว
ทันหุ้น • 26 ม.ค. 65
อ่าน
สะเทือนวงการ Marketing อีกแล้ว Facebook รวมทุกวิดีโอเป็น reels
เมต้า (Meta) แถลงจะปฏิวัติการรับชมและแชร์วิดีโอบน Facebook โดยมีแผนที่จะรวมวิดีโอทุกรูปแบบให้กลายเป็น Reels ทั้งหมด นอกจากนี้ยังเตรียมยกเลิกข้อจำกัดด้านความยาวของ Reels บนแพลตฟอร์มอีกด้วย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเริ่มทยอยเปิดตัวทั่วโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า วิดีโอทั้งหมดจะถูกแชร์เป็น Reelsปัจจุบันผู้ใช้ Facebook สามารถเลือกได้ว่าจะแชร์วิดีโอในรูปแบบวิดีโอทั่วไปหรือเป็น Reels ซึ่งมีขั้นตอนการทำงานที่แตกต่างกันออกไป แต่ในอนาคตอันใกล้ วิดีโอทั้งหมดบน Facebook จะถูกแชร์เป็น Reels ตามการประกาศในบล็อกโพสต์ของ Metaโดย Meta ยืนยันว่า Facebook จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มสำหรับวิดีโอทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอสั้น วิดีโอยาว หรือวิดีโอสด (Lives) การปรับเปลี่ยนนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง แชร์ และค้นพบ Reels ได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งในโปรไฟล์ส่วนตัวและเพจต่าง ๆไม่มีข้อจำกัดด้านความยาว และ Tab วิดีโอจะกลายเป็นแท็บ Reelsอีกหนึ่งข่าวดีสำหรับ Content Creatorsคือ Meta มีแผนที่จะ ยกเลิกข้อจำกัดด้านความยาวสำหรับ Reels บน Facebook โดยปัจจุบัน Reels ถูกจำกัดความยาวไว้ที่ 90 วินาที การเปลี่ยนแปลงนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาวิดีโอได้หลากหลายและยาวขึ้นตามต้องการนอกจากนี้ Tab วิดีโอ ที่คุ้นเคยบน Facebook จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "Tab Reels" อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม Meta ย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการแนะนำวิดีโอที่ผู้ใช้จะได้รับ ซึ่งยังคงปรับให้เหมาะสมกับความสนใจส่วนบุคคลของผู้ใช้เช่นเดิม การตัดสินใจครั้งนี้ของ Meta สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)CEO ของ Meta ที่เคยกล่าวไว้เมื่อต้นปีนี้ว่า เขาต้องการให้ Facebook มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และกลับไปสู่ ความเป็น Facebook ดั้งเดิมบางส่วน ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการปรับปรุงประสบการณ์การรับชมวิดีโอด้วยการเปิดตัวเครื่องเล่นวิดีโอบนมือถือแบบเต็มหน้าจอเมื่อปีที่แล้วนอกจาก Facebook แล้ว Meta ยังได้ผลักดัน Reels อย่างหนักบน Instagram เช่นกัน โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Reels บน Instagram สามารถมีความยาวได้สูงสุดถึงสามนาที การรวมวิดีโอทั้งหมดเข้ากับ Reels บน Facebook จึงเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Meta ในการผลักดันรูปแบบวิดีโอสั้นนี้ให้เป็นแกนหลักของการบริโภคเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของตน
TNN ช่อง16 • 18 มิ.ย. 68
อ่าน
Guerrilla Marketing การตลาดแบบกองโจร
Guerrilla Marketing การตลาดแบบกองโจร ใช้งบน้อยแต่ประสิทธิภาพทรงพลัง ก่อนที่จะเริ่มการใช้วิธี Guerrilla Marketing เราต้องมาเข้าใจตรงนี้ก่อนว่า สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างการทำ Marketing กับการทำ Advertising นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรMarketing หมายถึงการนำเสนอข้อมูลสินค้าหรือธุรกิจของเราออกไปสู่สายตาผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดแต่ Advertising นั้นคือการซื้อพื้นที่สื่อ ไม่ว่าจะเป็นการออกโฆษณาทางทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร เพื่อให้เข้าถึงผู้คนให้ได้มากที่สุด ดังนั้นจะสังเกตได้ว่าทั้งการทำทั้ง Marketing และ Advertising จะมีจุดประสงค์คล้าย ๆ กันก็คือ ต้องการเข้าถึงผู้คนและเกิดการรับรู้ของแบรนด์และนำไปสู่การซื้อสินค้าและบริการต่อไปนั่นเอง แต่สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นใหม่ อาจจะไม่มีเงินพอที่จะซื้อพื้นที่สื่อโฆษณาเช่น ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร ดังนั้นแล้วสำหรับคนที่มีงบประมาณด้านการตลาดไม่เยอะ ควรใช้แนวคิดการทำการตลาดแบบ Guerrilla Marketing หรือการทำการตลาดแบบกองโจร โดยจุดประสงค์ก็คือต้องใช้งบให้น้อย ใช้สมองให้เยอะ ๆ และสามารถเข้าถึงผู้คนได้เป็นจำนวนมาก โดยปัจจัยที่จะทำให้การทำการตลาดแบบ Guerrilla Marketing ประสบความสำเร็จนั้นสามารถแบ่งได้ 6 ข้อ ดังนี้1. ความคิดสร้างสรรค์ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ที่จะต้องเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร และมันจะทำให้ผู้คนจดจำสินค้าหรือแบรนด์ของคุณได้ง่าย เพราะถ้าหากว่าการตลาดของคุณไม่ได้แตกต่างไปจากเจ้าอื่น ๆ ในท้องตลาด ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าการตลาดที่เขาเพิ่งเห็นไปเป็นของใคร2. สร้างนวัตกรรม สำหรับข้อนี้อาจจะไม่ถึงกับต้องสร้างรถยนต์ไฟฟ้า หรือจรวดไปดาวดังคารแบบอีลอน มัสก์ แต่นวัตกรรมนั้นจะเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน หรือทำเป็นเจ้าแรก ๆ ที่คิดค้นขึ้น เพื่อให้เกิดการแตกต่างจากท้องตลาด3. มีปฏิสัมพันธ์ ในยุคที่การสื่อสารที่ผู้บริโภคเองก็สามารถสื่อสารกับแบรนด์ได้โดยตรง ดังนั้นจงหาจุดที่ลงตัวระหว่างสิ่งที่แบรนด์อยากสื่อสารและสิ่งที่ผู้บริโภคอยากได้ยิน ยิ่งแบรนด์ของคุณสามารถหา touch point หรือจุดที่สามารถเข้าถึงจิตใจของผู้คนได้ แบรนด์ของคุณก็จะกลายเป็น Top of mind หรือเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่พวกเขาจะคิดถึงเมื่อเจอสินค้าหรือบริการในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ดังนั้นแม้ว่าผู้บริโภคจะไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของคุณในทันที แต่เมื่อพวกเขามีความต้องการเมื่อใด ก็จะมีโอกาสกลับมาหาแบรนด์ของคุณเป็นอันดับต้น ๆ นั่นเอง4. สร้างความตื่นเต้น ในยุคที่แต่ละแบรนด์นั้นต่างสาดสื่อกันอย่างหนาแน่น การแข่งขันที่รุนแรง และผู้คนก็มักจะเบื่อการกับตลาดแบบเดิม ๆ เช่น ของฉันดี ของฉันลดราคา ซื้อตอนนี้ลดทันที 50% ซึ่งคุณอาจจะต้องทำการทบทวนใหม่แล้วว่าการตลาดที่คุณใช้นั้นในปัจจุบันสามารถเรียกความสนใจให้กับลูกค้ามากน้อยแค่ไหน5. ต้องมีความเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก จงทำการตลาดที่มีความเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก ใช้คำสื่อสารที่แม้แต่เด็ก 6 ขวบก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก คำสื่อสารต้องชัดเจน ไม่กำกวม ไม่ซับซ้อน และจะต้องโฟกัสไปที่คำสื่อสารหลัก ๆ เพียงคำเดียวภายในการทำการตลาด 1 ครั้ง เพื่อป้องกันการสับสนของผู้บริโภค6. ต้องใช้เงินน้อย ซึ่งจะต้องอาศัยการมี Creative มาก ๆ และยิ่งในปัจจุบันเรามีสื่ออย่างโซเชียลมีเดียที่สามารถทำการตลาดได้ในราคาที่ถูกแสนถูก อาจจะเรียกได้ว่ามีพื้นที่สื่อฟรีเลยก็ยังได้ เพียงแต่คุณต้องใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปสักหน่อย ก็เท่านั้นเอง บทความจาก The Billionaire - มนุษย์พันล้านขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay : ภาพปก / รูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3 / รูปที่ 4 / รูปที่ 5 / รูปที่ 6ขอขอบคุณเว็บไซต์ทำภาพปกจาก Canva
The Billionaire - มนุษย์พันล้าน • 9 ก.ค. 63
อ่าน
แสนสิริ คว้า 3 รางวัลใหญ่จาก Marketing Excellence Awards Thailand 2025
แสนสิริ ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ไทย ตอกย้ำความเป็น "Trendsetter" ในตลาด ด้วยการประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ ในการใช้ Data และ AI เข้ามาขับเคลื่อนการตลาดอย่างบูรณาการ จนสามารถ คว้า 3 รางวัล จากเวที Marketing Excellence Awards Thailand 2025 ความสำเร็จนี้ไม่ใช่แค่การก้าวทันเทคโนโลยี แต่คือบทพิสูจน์ว่า แม้ในภาวะที่ตลาดอสังหาฯ ผันผวน "ความแม่นยำ" ในการระบุผู้ซื้อคุณภาพด้วย AI คือคำตอบที่ทำให้ ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเบื้องหลังความสำเร็จคือการผนึกกำลังกับพันธมิตรเอเจนซี่อย่าง iProspect และแพลตฟอร์มระดับโลก ที่ร่วมกันวางระบบจัดเก็บและใช้ข้อมูลการตลาดอย่างเป็นระบบ ผ่านการทำงานของ AI ที่สามารถวิเคราะห์เชิงลึกบุคลิกลักษณะของลูกค้าที่มีแนวโน้มการซื้อได้อย่างแม่นยำ นายสมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "แสนสิริ มองหานวัตกรรมและรูปแบบการทำงานใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยจัดการความท้าทายและแก้ปัญหาในการพัฒนาธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ยิ่งในช่วงเวลาที่ความต้องการในการซื้อผันผวนจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวม และการแข่งขันของผู้ประกอบการเข้มข้นขึ้น การใช้ Data และเทคโนโลยี AI ทางการตลาดจึงเข้ามามีบทบาทเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ "Data เป็นสิ่งที่แสนสิริให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ ส่วนเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยให้สามารถวิเคราะห์เชิงลึกได้อย่างแม่นยำ รอบด้านและครบถ้วน ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจไปในทิศทางที่ถูกต้อง โดยการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์อย่าง iProspect และใช้เทคโนโลยีของ Platform ระดับโลก เช่น Meta Google ทำให้แสนสิริได้ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมใหม่ก่อนใคร และสามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ" First Mover ในเอเชียแปซิฟิก: เทคโนโลยี AI ที่ทำให้เห็นผลจริง แสนสิริทำงานกับ iProspect ในการเชื่อมโยงชุดข้อมูล CRM ของแสนสิริ และข้อมูลเชิงลึกจาก Global Platform เพื่อค้นหากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Potential Lead) ที่มีศักยภาพในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ตรงหรือใกล้เคียงที่สุดกับโครงการในแต่ละเซ็กเมนต์ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ "การประยุกต์เทคโนโลยี AI กับการทำการตลาดในยุคนี้ของแสนสิริบน Platform ดิจิทัลมีเดียหลัก ได้แก่ ฝั่ง Meta ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Conversion API หรือ CAPI ส่วนฝั่ง Google ใช้ Enhanced Conversions for Leads หรือ ECL ซึ่งแสนสิริเป็นแบรนด์อสังหาฯ แรกๆ ในเอเชียแปซิฟิคที่ประสบความสำเร็จในการเริ่มใช้ AI ที่ทางแต่ละ Platform พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2566 และกุญแจสำคัญอีกอย่างคือการทำงานกับ iProspect เอเจนซี่พาร์ตเนอร์ที่อยู่กับแสนสิริมากว่า 10 ปี ร่วมกันริเริ่มและทดลองนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่เกิดขึ้นในตลาดมาโดยตลอด" สมัชชา กล่าว ความพร้อมของ Data Ecosystem: กลยุทธ์ความสำเร็จ นายศุภกิตติ์ ลิ้มบุญทรง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอพรอสเพค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า " iProspect นำความเชี่ยวชาญด้านการวางแผนสื่อและ Marketing Technology มาปรับใช้ให้ตรงกับเป้าหมายทางธุรกิจของแสนสิริ ซึ่งแสนสิริมีรูปแบบการวาง Data Ecosystem ภายในองค์กรที่ดี มีผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการข้อมูลการตลาดตั้งแต่หน้าโครงการจนถึงทีมงานส่วนกลาง ส่งผลให้การทำงานต่อยอดบน Digital Platform มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ แสนสิริยังให้ความสำคัญกับ Digital Transformation ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีมาปรับปรุงกระบวนการทำงานด้านการตลาดให้มีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และรวดเร็ว ซึ่งเป็นการบูรณาการจากทุกส่วนงาน ไม่ว่าจะเป็นทีมขาย ทีมการตลาด ทีมดิจิทัล ทีมวิเคราะห์ข้อมูล ทีมงานของ iProspect และพันธมิตร Global Platform" ผลลัพธ์ที่จับต้องได้: Lead เพิ่ม 42% ต้นทุนลด 19% แสนสิริปลดล็อคข้อจำกัด และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มโอกาสให้กับทีมขายติดต่อไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ระบบสามารถกรองมาให้ได้ประสบความสำเร็จมากขึ้น เช่น แคมเปญ Always On ที่เรานำเทคโนโลยี AI ผนวกกับ One Search ที่เราวางแผนร่วมกับแสนสิริ จับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการ ด้านอสังหาฯ สูง ส่งผลให้ภาพรวมจำนวน Lead สูงขึ้น 42% ในขณะที่ราคาต่อ Lead ถูกลงถึง 19% "เราทำงานให้กับแบรนด์ต่างๆ หลากหลาย และทุกแบรนด์ก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเดียวกันได้ แต่สิ่งที่ทำให้แสนสิริแตกต่างคือความพร้อมของแบรนด์ในการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือได้สูงสุด ซึ่งปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งคือการให้ความสำคัญของการวางแผนการเก็บและใช้ Data ด้วยการมีข้อมูลต้นทางที่สมบูรณ์ ใช้ได้จริง ซึ่งแสนสิริมีการจัดหา จัดเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล เมื่อนำมาเชื่อมกับ ECL และ CAPI จึงทำให้ได้ Lead ของลูกค้าเป้าหมายที่แม่นยำและมีคุณภาพ ทีมขายสามารถติดต่อลูกค้าและปิดการขายต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นสิ่งที่แบรนด์ต่างๆ ควรให้ความสำคัญหากต้องการปรับใช้ AI กับธุรกิจ" ศุภกิตติ์ กล่าวทิ้งท้าย 5 องค์ประกอบแห่งความสำเร็จ: บทเรียน 40 ปีแสนสิริ นายสมัชชา กล่าวว่า จากประสบการณ์ของแสนสิริ การนำนวัตกรรมมาปรับใช้ให้เกิดผลทางธุรกิจอย่างแท้จริง จำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ นโยบายในการสนับสนุนการทดลองริเริ่มสิ่งใหม่ๆ บุคลากรที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ระบบที่รองรับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ พันธมิตรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และช่องทางที่เหมาะสมในการสื่อสารเข้าถึงลูกค้า ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ แสนสิริสามารถขับเคลื่อนธุรกิจตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ด้วยจำนวนมากกว่า 150 โปรเจคครอบคลุมทั่วประเทศ และสามารถรักษาระดับการเติบโตด้วยยอดขาย 9 เดือนแรก (สิ้นสุด 30 กันยายน 2568) อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท คิดเป็น 74% ของเป้ายอดขาย และเติบโตเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเผชิญความท้าทาย ตลอดจนได้รับการยอมรับในฐานะแบรนด์ที่ผู้บริโภครัก (Brand Love) จากรางวัลด้านแบรนด์มากมาย คว้า 3 รางวัลระดับประเทศ สะท้อนผู้นำ Marketing Excellence ล่าสุด ผลลัพธ์จากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างแสนสิริและ iProspect ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ด้วยการคว้ารางวัลด้านการตลาดรวม 3 รางวัลจากเวที Marketing Excellence Awards Thailand 2025 ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ Gold (2 รางวัล) คือ Excellence in Data-Driven Marketing จากความสามารถในการคัดกรองข้อมูลผู้ซื้อคุณภาพ และต่อยอดสู่การขายได้อย่างแม่นยำ และ Excellence in Search Marketing จากการสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์การค้นหาผ่านระบบ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอีก 1 รางวัล Bronze ในสาขา Excellence in Marketing Transformation สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดด้วยเทคโนโลยีและข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรม การได้รับรางวัลทั้ง 3 สาขาในครั้งนี้ ยืนยันความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการตลาดดิจิทัลของแสนสิริ และเป็นต้นแบบแห่งความสำเร็จที่องค์กรอื่นๆ สามารถศึกษาและนำไปปรับใช้ได้
ข่าวประชาสัมพันธ์ • 11 พ.ย. 68
อ่าน
CGSI เผยเสียงสะท้อนจาก Marketing Trip ในฮ่องกงต่อหุ้นไทย
#ทันหุ้น - ฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ได้พบปะลูกค้าในงาน Marketing Trip ที่ฮ่องกง วันที่ 20-21 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ยังลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก SET มีผลดำเนินงานไม่ดีตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งนี้นักลงทุนกังวลกับการเติบโตของเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงอ่อนตัว รวมถึงการอ่อนค่าของเงินบาทและความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่ลูกค้าบางส่วนเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bp เป็น 2.25% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 10 เม.ย. 67 แต่กังวลเช่นกันว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง ซึ่งจะลบล้างผลกำไรที่ได้จากการซื้อขายหุ้นจากการลงทุนในไทย นักลงทุนหลายรายกล่าวว่า การจะเปลี่ยนมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็นบวกนั้น พวกเขาต้องการเห็นสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยเพิ่มขึ้น, อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นบวกและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงขึ้น ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯเชื่อว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นในปี 67-68 ขณะที่คาดเงินเฟ้อรายเดือนอาจกลับมาเป็นบวกในเดือนมี.ค.หรือเม.ย. นี้ เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศน่าจะปรับขึ้น (ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นและหน่วยงานรัฐของไทยอาจปรับเพิ่มเพดานราคา) รวมถึงฐานที่ต่ำ ส่วนเงินปันผลนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ฝ่ายวิจัยฯมองว่า หากธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยวันที่ 10 เม.ย.นี้ และเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้น ซึ่งอาจดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามามากขึ้น จึงยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 67 ที่ 1,650 จุด แม้ว่านักลงทุนคาดว่าธปท.จะปรับลดดอกเบี้ย แต่เชื่อว่านักลงทุนยังกังวลกับผลกระทบที่ตามมา เช่น เงินทุนไหลออกและเงินบาทอ่อนค่ามากเกินไป ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทย underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ฝ่ายวิจัยฯมองว่า ขณะนี้เป็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อหุ้น เพราะเชื่อว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นการซื้อขายในตลาด สำหรับดัชนี SET สิ้นปีที่ 1,650 จุดนั้น เท่ากับ P/E 16.3 เท่าในปี 68 หรือ -0.5SD ของค่าเฉลี่ยห้าปี เรามองว่า sentiment ตลาดดีขึ้นน่าจะดึงดูดให้มีเม็ดเงินจากต่างประเทศเช่นกัน ส่วนหุ้น Top pick ของฝ่ายวิจัยประกอบด้วย AMATA, BBL, BCH, CPALL, ERW, PTTEP, TU และ SCB อย่างไรก็ตาม มุมมองของฝ่ายวิจัยฯอาจมี downside risk หากธปท.ยังตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมกนง. สองสามครั้งหลังจากนี้ และการที่รัฐบาลและธปท. ยังมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับกรอบเวลาและอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับลดลง
ทันหุ้น • 25 มี.ค. 67
อ่าน
รีวิวหนังสือ “EVERYTHING IS MARKETING”
แค่เห็นชื่อหนังสือ ก็ต้องพูดถึงการตลาดอยู่แล้วใช่ไหมคะ เป็นหนังสือชุด “เกาได้ เกาดี” ซึ่งหนังสือชุดนี้จะประกอบไปด้วย Everything is Marketing , Big idea make big money . Same same but different , Strategy is breakfast มีทั้งหมด 5 เล่มด้วยกัน โดยมีผู้เขียน คือ ดำรง วงษ์โชติปิ่นทอง มีสำนักพิมพ์เรสเตอนร์ บุ๊ค ในการจัดพิมพ์แต่บทความนี้ก็รู้ ๆ กันอยู่เนอะว่าเราจะมาเกาตลาดกัน หนังสือเล่มนี้บอกเรื่องการตลาดของบริษัท แบรนด์ หรือผู้คนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ หรือในอาชีพของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น ในบทที่ 1 แค่ขายเสื้อผ้า ก็ทำให้รวยเป็นอันดับ 7 ของโลก ซึ่งในเนื้อหาก็จะบอกคนที่ประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ มีเงินเท่าไหร่ อันดับที่เท่าไหร่ของโลก ซึ่งอันดับต้น ๆ ก็หนีไม่พ้นธุรกิจขนาดใหญ่อย่างไมโครซอฟ แต่อันดับ 7 ของโลกนั้นเป็นธุรกิจแบรด์เสื้อผ้า คือ ZARA เพื่อน ๆ อาจจะคุ้น ๆ กันใช่ไหมเอ่ย? ไม่รู้เลยว่าจะรวยได้ขนาดนี้ ซึ่งแบรนด์เสื้อผ้ามากมายก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จได้มากเท่า ZARA หลังจากนั้นหนังสือก็ให้ข้อมูลเชิงลึก ที่เชื่อมโยงกับการนำเสนอตอนต้น ต่อไปก็จะเป็นหลักการตลาดได้เข้ามาให้เห็น ให้ข้อมูล และทำความเข้าใจต่อจากเนื้อหาข้างต้นอีกด้วย โดยใช้แผนภาพ หรืออินโฟกราฟิกในการเข้ามาช่วยอธิบาย ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว ส่วนในตอนท้ายของทุก ๆ บท ๆ จะเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียง และให้สโลแกนของธุรกิจนั้น ๆ ไว้ถ้าให้คะแนนหนังสือ “EVERYTHING IS MARKETING” ก็ต้องยกให้ 9/10 เลย ตอนแรกเราจะให้เต็มนั้นแหละ แต่ติดอยู่อย่างเดียว คือ ภาษาอังกฤษ (หรือเราอาจโง่เอง ฮ่าฮ่า) มันจะมีภาษาอังกฤษสอดแทรกอยู่ในทุก ๆ บทเลย ทำให้อาจจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่เราไม่ไปมองมันเป็นข้อเสียดีกว่า เก็บเอาไว้พัฒนาตัวเองซึ่งถ้าเพื่อน ๆ คนไหนสนใจ อยากหาอ่าน โดยเฉพาะกับคนที่ต้องการทำธุรกิจ หรืออยู่ในช่วงค้นหาข้อมูลก็สามารถหาอ่านได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปเลยจ้า เพราะก่อนที่เราจะทำธุรกิจใด ๆ ก็ตาม เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เรื่องการตลาดให้ดีเสียก่อน ถ้าเพื่อน ๆ สามารถตอบคำถามในเชิงการตลาดได้หมด อันนี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เริ่มทำธุรกิจได้เลย แต่ถ้าใครที่ยังรู้ไม่เยอะมาก ต้องการค้นคว้าเพิ่มเติมอีกหน่อย ก็อย่างที่บอกแหละค่ะว่าแนะนำหนังสือเล่มนี้ ไม่งั้นเกิดทำธุรกิจอะไร แล้วไม่ดูตลาดเลย ก็อาจจะเจ๊งได้นะขอเตือนเลยเชียวรูปภาพหน้าปก และภาพประกอบทั้งหมด : ขวัญจิรา
KwanJai • 16 มี.ค. 63
อ่าน
รีวิวหนังสือ MARKETING 5.0 การตลาด 5.0 เพื่อมวลมนุษยชาติ
ถ้าจะว่าด้วยเรื่องของการตลาดแล้ว ในวงการคงไม่มีใครไม่รู้จัก Philip Kotler ปรมาจารย์ในวงการ Marketing ครั้งนี้จะเป็นการให้ความรู้ใหม่ด้านการตลาดใหม่ที่ต่อยอดจากของเดิมให้เท่าทันกับยุคสมัยปัจจุบันมากขึ้น นิยามการตลาด 5.0 คือ การใช้เทคโนโลยีที่เลียนแบบมนุษย์มาสร้าง สื่อสาร ส่งมอบ และเพิ่มมูลค่าของผู้บริโภคทุกขั้นตอน ปัจจัยสำคัญอยู่ที่เทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) เซ็นเซอร์ วิทยาการหุ่นยนต์ ความเป็นจริงเสริม (AR) ความเป็นจริงเสมือน (VR) อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (Iot) และบล็อกเชน ทั้งหมดนี้จะต้องใช้ผสมผสานอย่างสอดคล้องถึงจะได้ผล ครั้งนี้จะเป็นการทำ Marketing ในยามวิกฤติโควิด 19 ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากที่ทุกอย่างต้องทำผ่านออนไลน์ วิเคราะห์ผ่านออนไลน์ โดยใช้ AI เข้าช่วยอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาประสิทธิภาพของการทำการตลาดไว้ หากสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ มันก็จะง่ายสำหรับเรา เพราะถือว่าเราเคยผ่านของยากมาก่อนแล้ว หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Philip Kotler, Hermawan Kartajaya และ Iwan Setiawan ความรู้ความประทับใจที่ได้จากมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าองค์ประกอบพื้นฐานของการตลาด 5.0 ได้แก่1.การตลาดขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Marketing) เป็นการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งต้องมีข้อมูลในมือมากพอ2.การตลาดฉับไว (Agile Marketing) คือการนำทีมผสมจากต่างสายงานมาช่วยวางชุดความคิด ออกแบบ พัฒนา ตรวจความเหมาะสมของ Product และแผนการตลาดให้เสร็จโดยเร็ว ได้เรียนรู้ว่าการตลาดฉับไวมีเทคนิคสำคัญ 3 ประการ1.การตลาดเชิงคาดการณ์ (Predictive Marketing) ช่วยให้ธุรกิจมองเห็นภาพล่วงหน้าว่าตลาดจะตอบสนองต่อแผนและสร้างอิทธิพลได้แบบไหน2.การตลาดเชิงบริบท (Contextual Marketing) การระบุ วิเคราะห์ประวัติ เสนอสิ่งที่สอดคล้องกับความชอบของลูกค้าเฉพาะรายโดยผ่านจุดเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งเอาไว้ให้ลูกค้า3.การตลาดเสริมศักยภาพ (Augmented Marketing) นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มศักยภาพกับนักการตลาด จะได้สื่อสารกับลูกค้าได้ดีขึ้น ได้เรียนรู้ว่าการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นอีกเรื่องที่ลำบากใจ เพราะมูลค่าสูงสุดเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อแบรนด์ตอบสนองความต้องการของคนรุ่น Baby Boomers และ Gen X ซึ่งเป็นคนที่มีฐานะพร้อมซื้อของแพงมากกว่า ได้เรียนรู้ว่าส่วนใหญ่มูลค่าแบรนด์ (Brand Equity) เกิดขึ้นเมื่อได้การยอมรับจาก Gen Y และ Gen Z ที่ชอบมองอะไรถูกใจและคลั่งไคล้เทคโนโลยี และยังมีอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อสินค้าหลายอย่างของพ่อแม่รุ่น Baby Boomers และ Gen X ธุรกิจจึงจำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการสร้างมูลค่าสูงสุดสำหรับปัจจุบันและการวางตำแหน่งแบรนด์สำหรับอนาคต ได้เรียนรู้ว่าแทนที่จะทำให้ลูกค้ายอมรับการชี้แนะจาก AI เราใช้ควรให้เพื่อนของลูกค้า ครอบครัวลูกค้า ชุมชนของลูกค้ามาเป็นตัวกระตุ้นมากกว่าเจ้าของแบรนด์ไปกระตุ้นเสียเอง ทั้งนี้ธุรกิจควรใช้พลังทางสังคมให้เป็นประโยชน์มากกว่าแค่ขายของ หากเป็นไปได้การใช้เครือข่ายเพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในสังคมไปในทางที่รับผิดชอบต่อส่วนรวมจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างแท้จริง ได้เรียนรู้ว่าลูกค้าไม่ได้ประเมินตัวสินค้า/บริการอย่างเดียว แต่ประเมินธุรกิจและตัวสินค้าตลอดทุกช่องทางการติดต่อ จาก Online ไป Offline ลูกค้าจะคาดหวังว่ามันจะลื่นไหลเชื่อมต่อตลอดทาง ดังนั้น ธุรกิจจึงต้องรวมปฏิสัมพันธ์แบบ high tech กับ high touch ที่เข้าถึงความรู้สึกเข้าด้วยกัน ได้เรียนรู้ว่ากลยุทธ์เพื่อย้ายลูกค้าไปสู่ช่องทางดิจิทัล มีดังนี้1.เสนอแรงจูงใจให้ไปดิจิทัล เช่น ส่วนลด โปรโมชันพิเศษ ส่วนช่องทาง Offline จะคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นหรือยกเลิกช่องทาง Offline ไปเลย2.ใช้ดิจิทัลแก้ปัญหาที่สร้างความไม่พอใจ เช่น ไม่ต้องรอคิวนาน พนักงานไม่ดุลูกค้า เพราะดิจิทัลไม่มีพนักงานต้อนรับ เป็นต้น3.ใช้ดิจิทัลสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงกายภาพอย่างที่ต้องการ เช่น พนักงานให้คำปรึกษาผ่าน Video Call เรามักพบเห็นจากแพทย์ที่ให้การรักษาทางไกลที่มักเรียกกันว่า Telehealth อีกแบบหนึ่งก็คือการใช้ Chat Bot มาตอบคำถามระดับพื้นฐานของลูกค้า ได้เรียนรู้ว่างานวิจัยจาก McKinsey ระบุว่า 44% ผู้บริโภคใช้ webrooming คือหาข้อมูลผ่านเว็บแล้วไปซื้อที่ร้าน 23% ใช้วิธี showrooming คือไปดูและทดลองสินค้าที่ร้านหรือโชว์รูมก่อน แล้วค่อยสั่งซื้อทางออนไลน์ ยังมีงานวิจัยจาก transcosmos พบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้ทั้ง webrooming และ showrooming สำหรับสินค้าประเภทต่างๆ การเข้าถึงลูกค้าแบบนี้จึงต้องใช้การเข้าถึงทุกช่องทาง เรียกว่า Omni ได้เรียนรู้ว่าเมื่อสินค้าเริ่มดูหน้าตาเหมือนกันหมด ธุรกิจจึงหันไปเน้นนำนวัตกรรมมาใช้กับทุกจุดสัมผัสรายรอบตัวสินค้า การสร้างรูปแบบสื่อสารโต้ตอบกับสินค้า สำคัญกว่าตัวสินค้าเอง ดังนั้น หัวใจสำคัญที่จะชนะการแข่งขันไม่ได้อยู่ที่ตัวสินค้าแล้ว แต่พิสูจน์กันที่ผู้บริโภคประเมิน ซื้อ ใช้ และแนะนำสินค้าอย่างไร การสร้างประสบการณ์ลูกค้ากลายเป็นวิธีการทรงประสิทธิภาพแบบใหม่ที่ธุรกิจใช้สร้างและเสนอคุณค่าลูกค้ามากขึ้น ได้เรียนรู้ว่าวิธีการแบ่งส่วนตลาด มีอยู่ 4 แนวทาง ได้แก่1.การแบ่งส่วนตลาดตามถิ่นที่อยู่ทางภูมิศาสตร์ ลูกค้าอาศัยอยู่ที่ไหน ชอบไปที่ไหน ตอนนี้อยู่ที่ไหน2.ตามลักษณะเชิงประชากรศาสตร์ ลูกค้าอายุเท่าไหร่ ทำอาชีพอะไร รายได้เท่าไหร่ (รวยมั้ย?) แต่งงานหรือโสด สมาชิกในบ้านมีกี่คน3.ตามลักษณะเชิงจิตวิทยา ลูกค้าสนใจหรือคลั่งไคล้อะไร มีแรงจูงใจและเป้าหมายชีวิตอย่างไร มีค่านิยมและทัศนคติอะไรบ้างที่ผลักดันพฤติกรรม4.ตามลักษณะพฤติกรรม ลูกค้าซื้อสินค้าแบบไหน บริโภคสื่ออะไรบ้าง ใช้สินค้าแบบไหน ได้เรียนรู้ว่าสมัยก่อนนักการตลาดพึ่งสถิติเชิงพรรณนาอธิบายพฤติกรรมในอดีตร่วมกับสัญชาตญาณมาเดาผลที่จะเกิดให้ใกล้เคียงที่สุด ขณะที่ AI วิเคราะห์เชิงคาดการณ์ได้ดีกว่า โดยอาศัยข้อมูลในอดีตป้อนเข้าสู่ระบบ Machine Learning เพื่อให้เห็นโมเดลคาดการณ์ เมื่อนำข้อมูลใหม่ป้อนเข้าโมเดล นักการตลาดจะทำนายผลลัพธ์ที่จะเกิดในอนาคตได้ แคมเปญแบบไหนจะใช้ได้ผล การคาดการณ์ล่วงหน้ายังช่วยบริษัทวางแผนลงทุนเพื่ออนาคตว่าจะลงทุนขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้หรือไม่ ได้เรียนรู้ว่าเมื่อลูกค้าติดตั้งแอปที่เรากำหนด เวลาลูกค้าเข้ามาในร้านของเรา บีคอนหรือเซ็นเซอร์ระยะใกล้จะติดต่อไปหาลูกค้าในรูปแบบข้อความแจ้งเตือนจากแอป เรามักจะได้ข้อความเชิญชวนแบบนี้เวลาเข้าห้างสรรพสินค้าเชิญชวนให้ซื้ออะไรบางอย่าง พร้อมส่วนลด 10% เพราะเราเป็นสมาชิกของห้างดังกล่าว เป็นต้น ได้เรียนรู้ว่าในยุคที่เต็มไปด้วยความผันผวน ความไม่แน่นอน ความซับซ้อน ความคลุมเครือ (Volatility, Uncertainly, complexity and ambiguity – VUCA) จะมัววางแผนระยะยาวไม่ได้ เพราะต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ทันกับความต้องการของลูกค้า แซงหน้าคู่แข่งให้ทัน การตลาดฉับไวคือทางออกของเรื่องนี้ ได้เรียนรู้ว่าอุปสรรคของการตลาดฉับไว คือ โครงสร้างการทำงานแยกส่วนกันทำ เรียกกันว่า องค์กรไซโล เพราะแต่ละหน่วยงานมี KPIs ประเมินพนักงานไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ทีมฉับไวจึงต้องมีสมาชิกที่เชี่ยวชาญจากหลายสายงาน เช่น ด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด เทคโนโลยี ให้การต่างฝ่ายต่างทำหมดไป พนักงานมีส่วนร่วมมากขึ้น รู้สึกสำคัญต่อองค์กร โดยรวมครีเอเตอร์ถือว่าหนังสือเล่มนี้อ่านยากประมาณหนึ่ง เพราะเขียนถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาวิชาการเหมือนอ่านตำราเรียนเลยก็ว่าได้ ผู้เขียนทั้งสามคนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สอนการตลาดจนโด่งดังไปทั่วโลกจึงได้รับความน่าเชื่อถือสูง ใครที่คิดอยากจะซื้อหามาอ่านก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของผู้เขียนด้วย เครดิตภาพภาพปก โดย wirestock จาก freepik.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย freepik จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย rawpixel.com จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูดรีวิวหนังสือ DIGITAL MARKETING UNLOCKED ปลดล็อกการตลาดดิจิทัลรีวิวหนังสือ Seamless Marketing Communication สื่อสารการตลาดแบบไร้รอยต่อรีวิวหนังสือ EXPERIENCE MARKETING ซื้อใจลูกค้าได้อยู่หมัด ด้วยการตลาดสร้างประสบการณ์รีวิวหนังสือ ขายดี 24 ชั่วโมงไม่ต้องยิงแอด เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
Watcharapon • 22 ธ.ค. 66
อ่าน
"Influencer Marketing" 3 เทคนิคเลือกอย่างไรให้แบรนด์ปัง
"Influencer Marketing" 3 เทคนิคเลือกอย่างไรให้แบรนด์ปัง ถ้าพูดถึงเรื่องการตลาด ในยุคนี้นักการตลาดปี 2020 ต้องรู้จักคำนี้ Influencer Marketing เป็นศัพท์อย่างเป็นทางการที่เพิ่งเข้ามามีบทบาทสำคัญในเชิงกลยุทธ์ทางการตลาด หากจะให้อธิบายให้เข้าใจง่ายหน่อย จริง ๆ คำว่า Influencer แท้จริงแล้วแต่ดั้งเดิมมันก็คือการบอกต่อสินค้าหลังจากที่ได้ทดลองใช้นั่นเอง ถ้าเป็นศัพท์ ที่เก่ากว่านี้หน่อย ก็จะมาจากคำว่า WOM (Word-of-Mouth ) หรือการบอกกันปากต่อปากนั่นเอง ในยุคที่โซเชียลจะเข้ามามีบทบาท แบรนด์ทำหน้าที่ในการป่าวประกาศขายของด้วยตัวเอง ลูกค้าต้องฟังจากแบรนด์ แต่ในยุคที่ผู้บริโภคสามารถใกล้ชิดกับแบรนด์ได้มากขึ้น รวมไปถึงผู้บริโภคเองมีอิทธิพลกับผู้บริโภคด้วยกันเอง มากกว่าแบรนด์ ลูกค้าเชื่อเพื่อน หรือคนที่ติดตามมากกว่าแบรนด์ซึ่งจะแตกต่างจากยุค Presenter ที่เราเคยเข้าใจอย่างสิ้นเชิง การใช้ Presenter คือการทำการตลาดแบบ on way communication คือทำให้เห็นภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ ภาพที่สวยงามสมบูรณ์แบบซึ่งจะแตกต่างจากการใช้เหล่าบรรดานักรีวิวในการบอกต่อ ที่ได้ความจริงกว่า เชื่อถือง่ายกว่า ที่สำคัญเข้าถึงง่ายกว่า นั่นจึงทำให้ Influencer กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญ ในเชิงการตลาดยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ที่สำคัญเหล่าบรรดานักรีวิว หรือนักบอกต่อในยุคปัจจุบัน ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมหาศาล ในฐานะแบรนด์หรือนักการตลาดจะเลือกใช้ Influencer เหล่านี้อย่างไร เรามีแนวทาง 3 ปัจจัยมาบอก เข้าใจแบรนด์ และ สินค้า ก่อนที่เราจะเริ่มกลยุทธ์การตลาดเรื่องการใช้ Influencer เราต้องเข้าใจภาพลักษณ์ของแบรนด์และสินค้าของเราอย่างลึกซึ้งเสียก่อน เพราะนี่คือเบสิคของการเริ่มต้นที่จะทำการตลาด หรือกำลังจะขายของให้ลูกค้าสักหนึ่งคน แนวคำถามเพื่อตรวจสอบว่าเราในฐานะนักการตลาดเข้าใจผลิตภัณฑ์ และแบรนด์ได้ดีแล้วหรือยัง เช่น ภาพลักษณ์ของแบรนด์เราเป็นอย่างไร เช่น สนุกสานมีสีสัน เรียบง่ายพูดน้อย หรูหรา ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่แบรนด์เราเป็น ถ้านึกเป็นคนได้จะดีมากเพราะจะทำให้เราเห็นภาพแบรนด์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สินค้าเราดีอย่างไร เช่น ข้อแตกต่างของสินค้าเราที่ได้เปรียบคู่แข่ง ราคาถูกกว่า คุณภาพดีกว่า ต้องรู้ข้อดีข้อเสียของสินค้าให้ได้ เราขายสินค้าให้ใคร ? ใครที่จะซื้อสินค้าของเรา / ใครคือลูกค้า เมื่อเราตอบไกด์คำถามเหล่านี้ได้แล้ว จะทำให้เราเห็นภาพรวมของแบรนด์และสินค้าของเรามากขึ้น ในกรณีที่มีสินค้าหลากหลายแนะนำให้ทำเป็นแคมเปญ แยกสินค้ากันอย่านำมารวมกันจะดีที่สุด เพราะแม้จะเป็นแบรนด์เดียวกัน แต่กลุ่มลูกค้าที่ซื้ออาจจะคนละกลุ่มก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ยิ่งทำละเอียดมากเท่าไหร่ จะยิ่งดีต่อการตามหา Influencer ในขั้นตอนต่อไป ใช้ Influencer เพื่ออะไร ข้อนี้สำคัญมากในการเริ่มต้นใช้กลยุทธ์ให้ Influencer รีวิวหรือพูดถึงสินค้า เพราะทุกการสื่อสาร หรือแม้กระทั่งการพูดคุยกับตัวนักรีวิวเองเราต้องตอบคำถามหรือมีวัตถุประสงค์ของการทำแคมเปญนี้ สิ่งที่ต้องการให้ Influencer เป็นผู้สื่อสาร อะไรคือ Key massage หลักที่อยากให้ส่งถึงลูกค้า รวมไปถึงสิ่งที่เราต้องการจาก Influencer ด้วย ตัวอย่างวัตถุประสงค์เช่น เพื่อนสร้างการรับรู้ (awareness ) กรณีเป็นแบรนด์น้องใหม่ หรือ สินค้าตัวใหม่ เพื่อให้ สินค้าเป็นที่พูดถึง ติดหน้าค้นหาใน google เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้า (ได้สิทธิพิเศษ เมื่อใส่ code ส่วนลดจาก Influencer ) นี่เป็นตัวอย่างการตั้ง objective ก่อนที่จะเริ่มแคมเปญกับ Influencer เมื่อเราได้เป้าหมายที่ชัดเจนเรียบร้อยแล้วจะทำให้การลงทุนงบประมาณที่ใช้นั้นมีทิศทางและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด รวมไปถึงสามารถวัดผลได้ด้วยว่าที่ทำไปเป็นไปตามเป้าหรือไม่ ใครคือ Influencer ของเรา มาถึงข้อที่เราต้องตั้งคำถามให้กับแบรนด์แล้วว่า แล้วใคร ที่จะมาเป็น Influencer ให้กับแบรนด์หรือสินค้าของเราดี ข้อนี้หลายคนอาจจะอยากได้คำตอบที่ตายตัว หรือสูตรสำเร็จที่แน่นอน ชัดเจน แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า ถ้าคุณได้ลองตั้งคำถาม เรื่องแบรนด์ สินค้า และวัตถุประสงค์ที่จะใช้ Influencer Marketing เรียบร้อยแล้ว คุณจะเจอคำตอบเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้คำตอบที่เลือกมีหลาย ๆ ชอยส์ไว้ก่อน เพื่อทำการเทส หรือทดลองดูก่อน เราจะได้รู้ข้อเปรียบเทียบ และเห็นจุดแตกต่างของ Influencer แต่ละคนได้มากยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่างการเลือก Influencer สำหรับมาใช้ในแคมเปญ A แบรนด์ชื่อ นอนสบาย (ที่พักขนาดเล็ก ย่านอัมพวา ) สินค้า ห้องพักติดริมน้ำย่านอัมพวา จุดเด่นคืออยู่ใกล้ตลาดอัมพวา /ติดริมน้ำ /สไตล์โมเดิร์น /ราคาไม่แพง กลุ่มลูกค้า วัยทำงาน เน้นเป็นคู่รัก วัตถุประสงค์ที่จะใช้ Influencer : กระตุ้นการเข้าพัก (ซื้อห้อง) หลังช่วงโควิด ลิสต์ Influencerสายท่องเที่ยว /สายรีวิวที่พัก เน้นสายท่องเที่ยวที่เป็นคู่รักเพจที่เกี่ยวข้องกับอัมพวา เมื่อเราได้กลุ่มลิสต์ Influencer ออกมาเป็นหมวดใหญ่ ๆ แล้ว ทีนี้เราก็สามารถลองเลือกเพจ บล็อกเกอร์ หรือ youtuber ที่เข้าลิสต์ตามที่เราตั้งไว้ได้เลย หลังจากที่เราได้รายชื่อมาเรียบร้อย ที่เหลือก็อยู่ที่งบประมาณหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถนำมาช่วยตัดสินใจได้ เช่น เรื่องของรูปแบบคอนเทนต์ หรือเพจ performance เป็นต้น หรือจะเป็นตัวอย่างเคสจริง ที่มีการใช้เรื่อง Influencer Marketing อย่างคุณตัน อิชิตัน ที่ทำคอนเทนต์ผันตัวเองไปเป็นโค้ชเพื่อช่วยพื้นฟู ร้านตำนานข้าวขาหมูเซนหลุยส์ จากที่เคยซบเซาให้กลับมาขายดีโดยใช้ตัวเองเป็น Influencer ช่วยพัฒนาและสร้างยอดขายกลับมาให้ร้านได้ หากใช้ได้ถูกจังหวะ เวลา และคอนเทนต์โดนใจคนดูก็จะประสบความสำเร็จ กลายเป็นที่พูดถึง สร้างการรับรู้เพิ่มขึ้นและเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ https://www.youtube.com/user/ichitangroup หวังว่าบทความนี้จะเป็นไกด์ไลน์เบื้องต้น สำหรับใครที่อยากจะลองเริ่มใช้ Influencer เป็นกลยุทธ์หลัก สำหรับการตลาดในยุคนี้ ข้อมูลข้างต้นเป็นพื้นฐานหากอยากรู้ในเชิงลึกหรือเรื่องราวการตลาดออนไลน์ที่เข้าใจง่าย ครบวงจร สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ตามช่องทางเหล่านี้ https://www.marketingoops.com/https://www.nuttaputch.com/หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับนักการตลาดไม่มากก็น้อย อย่าลืมว่าในยุคที่ผู้บริโภค เชื่อเพื่อนมากกว่าแบรนด์ เพราะฉะนั้น เราต้องปรับตัวเพื่อให้แบรนด์ไปต่อได้ ภาพปกและภาพประกอบ ( 1/2 /3 /4 /5) Photo free for https://www.canva.com/ ขอบคุณภาพประกอบที่ (6) จาก https://www.youtube.com/user/ichitangroup
lovesea • 28 เม.ย. 63
อ่าน
แนวทางการเลือกทำธุรกิจ Online Marketing ของผม
ผมคิดว่าทุกท่านคงจะคุ้นเคยกับระบบธุรกิจแบบขายตรงหรือ Network Marketing เป็นอย่างดี ตัวผมเองก็เคยผ่านประสบการณ์ทางธุรกิจประเภทนี้มากับหลายบริษัท ทั้งกับบริษัทระดับนานาชาติและกับบริษัทของคนไทยเราเอง ซึ่งประสบการณ์ที่ผ่านมาผมขอบอกตามความจริงเลยว่าผมประสบกับความล้มเหลวทั้งหมดแต่สาเหตุที่ผมเลือกที่จะกลับมาทำธุรกิจนี้อีกครั้งและผมขอบอกว่าครั้งนี้ผมให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และวิเคราะห์มากกว่าเดิมและจริงจังกว่าเดิม เพราะผมมีความจำเป็นที่จะต้องหารายได้เพื่อมาเลี้ยงชีวิตต่อไปเพราะผมเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว การจะอยู่ในสังคมทุกวันนี้โดยการเลี้ยงชีพอยู่ได้ด้วยเงินบำนาญชราภาพและเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุรวมทั้งเงินจากงานเขียนคงไม่พอเสียแล้วหรือหากจะกลับไปเป็นลูกจ้างเขาเหมือนสมัยยังหนุ่มอยู่ก็คงไม่ได้แล้วและคงไม่มีบริษัทไหนรับคนสูงอายุอย่างผมเข้าทำงาน และปัจจุบันตัวตนและวิธีคิดของผมก็ไม่ใช่คนที่คิดแบบลูกจ้างอีกต่อไปแล้วดังนั้นผมจีงได้ใช้ความคิดทบทวนความผิดพลาดในอดีตทั้งหมดที่ล้มเหลวกับธุรกิจนี้ สรุปว่าคงเป็นเพราะวิธีคิดหรือ Mindset ของผมมันค่อนข้างเป็นลบกับธุรกิจนี้ และที่ผ่านมาผมก็ทำงานประจำกินเงินเดือนไม่เดือดร้อนจึงไม่ค่อยจะจริงจังกับมัน อีกทั้งสมัยก่อนการทำธุรกิจแบบนี้เป็นธุรกิจที่จะต้องมีการไปพบผู้มุ่งหวังในแบบที่มักจะโดนล้อว่าตามง้อขอตื้อมานาน มันอาจจะเหมาะกับคนบางคนที่ชอบหรือตัวตนเขาเป็นแบบนั้นซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแปลก แต่สำหรับผมในเวลานั้นมันรับไม่ได้กับความรู้สึกในแบบนี้จริงๆแต่เมื่อโลกเราเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้เกิดวิธีการทำธุรกิจแบบที่เรียกว่า Online Marketing หรือ Digital Marketing ผ่านทาง Social Media และเรามีโปรแกรมสื่อสารในลักษณะที่สามารถประชุมหรือพูดคุยกันได้ทางไกลอย่าง Zoom หรือ Google Meet ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะตอบโจทย์ความเป็นตัวตนของผมในการทำธุรกิจโดยไม่ต้องออกไปข้างนอกแบบตามง้อขอตื้อให้เหนื่อย เพราะตอนนี้ผมเป็นคนสูงวัยแล้วเรื่องหนึ่งที่ธุรกิจเครือข่ายยกมาเป็นคัมภีร์เหมือนกันหมดคือแนวคิดเรื่องเงินสี่ด้านจากหนังสือของโรเบิร์ต คิโยซากิ ซึ่งมันกลายเป็นแนวความคิดที่ธรรมดาสำหรับบริษัทร้อยพ่อพันแม่ที่ทำธุรกิจเครือข่ายไปแล้วแต่เมื่อสองสามเดือนที่แล้วผมได้มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้กับบริษัทหนึ่งและด้วยความจำเป็นในชีวิตจึงทำให้ผมกลับมาประมวลข้อมูลต่างๆและได้ตกผลึกทางความคิดกับธุรกิจนี้ในมุมมองใหม่ จนคิดว่าจะทำธุรกิจกับบริษัทนี้ไปจนตลอดชีวิต ซึ่งผมอยากจะนำหลักการและวิธีคิดที่ผมนำมากลั่นกรองและประมวลคิดในเรื่องของคุณสมบัติของบริษัทที่ผมควรจะเข้าไปร่วมธุรกิจด้วยนี้มาแบ่งปันหลังจากไปประชุมกับบริษัทนี้และเก็บข้อมูลมาหนึ่งต้องเป็นบริษัทจากต่างประเทศในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาก่อตั้งมาหลายสิบปี และเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงแล้วซึ่งมักจะมีเครือข่ายอยู่หลายสิบประเทศทั่วโลก และผู้เข้าร่วมธุรกิจสามารถขายผลิตภัณฑ์หรือขยายทีมเครือข่ายออกไปได้จากทั่วโลกเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มีมากกว่าบริษัทไทยที่อยู่เฉพาะในเมืองไทยหรือมีสาขาอยู่เฉพาะในภูมิภาคนี้สองเต้องเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมีสถานที่ผลิตและห้องทดลองที่ทันสมัยและเต็มไปด้วยแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกมาทำงานวิเคราะห์ลงไปถึงในระดับยีนส์ของมนุษย์ กว่าจะออกผลิตภัณฑ์ออกมาได้แต่ละอย่าง พูดง่ายๆคือต้องลงทุนมหาศาลกับการค้นคว้าและวิจัยโดยเพราะการชะลอวัยรวมทั้งบำรุงสุขภาพและความงามซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคตสามต้องเป็นบริษัทที่มีผลกำไรมหาศาลและเติบโตทางการเงินตลอดโดยมีชื่ออยู่ในระดับทอป 5ของตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ซึ่งทำให้บริษัทมีความมั่นคงแข็งแรงและยั่งยืนคือยังอยู่ต่อไปเรื่อยๆแม้ตัวเราเสียชีวิตไปแล้วก็สามารถส่งต่อรหัสและผลตอบแทนทางธุรกิจให้แก่ทายาทได้สี่ต้องเป็นบริษัทที่มีระบบไอทีที่ทันสมัยโดยใช้ระบบ AI และ IoT เพื่อพัฒนาแอปพลิชั่นในการทำงานและการสนับสนุนการวิเคราะห์ด้านต่างๆ ทางสุขภาพและความงามเพื่อสนับสนุนทั้งผู้ทำธุรกิจรวมทั้งลูกค้าหลายระบบอันเกิดจากการลงทุนมหาศาลห้าเป็นบริษัทที่ให้ผลประโยชน์กับผู้ร่วมทำธุรกิจมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีแผนรายได้ที่สูงกว่าอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบทางการให้ผลตอบแทนของที่อื่นนอกเหนือจากนั้นคือเรื่องการให้รางวัลไปท่องเที่ยวอย่างสบายและหรูหรา ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่ได้ให้ความใส่ใจเท่าไร เพราะหลายบริษัทก็จูงใจในลักษณะเดียวกันเมื่อเอาจุดแข็งทั้งหมดมาประมวลทางความคิดแล้ว ในที่สุดผมก็เลือกทำธุรกิจกับบริษัทนี้และคิดว่าจะทำไปตลอดชีวิต เพราะภาพที่เราเห็นมันก็มีหลักฐานบ่งบอกอย่างชัดเจน ความจริงมันเป็นความตั้งใจของผมที่จะทำงานทั้งชีวิตและเป็นการใช้สมองในการทำงานเป็นหลักโดยไม่มีการเกษียณตัวเองอยู่แล้วมาถึงตรงนี้หลายท่านคงเดาออกว่าผมร่วมธุรกิจกับบริษัทอะไร แต่ผมจะไม่บอกหรอกครับเพราะมันผิดกาละเทสะบนเวทีแห่งนี้ อีกอย่างหนึ่งคือตอนนี้ผมปฏิบัติธรรมด้วยการทำกรรมฐานทุกวันรู้สึกว่าชีวิตมันเบาสบาย ดังนั้นการถูกปฏิเสธหรือการถูกดูถูกก็ไม่ทำให้ผมมีความทุกข์เหมือนสมัยก่อนอีกแล้วขอบคุณภาพประกอบภาพปก โดย Wes Hicks จาก Unsplashภาพประกอบ 1 โดย Myriam Jessier จาก Unsplashภาพประกอบ 2 โดย Firmbee.com จาก Unsplashภาพประกอบ 3 โดย Campaign Creators จาก Unsplashภาพประกอบ 4 โดย Tim van der Kuip จาก Unsplash7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์
พิตติคม • 22 มี.ค. 66
อ่าน
จะทำ Online Marketing ยังไงให้โดนใจ SEO ที่สุด
หลายคนคงได้ยินคำว่า SEO มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเรื่อง Content เรื่องกลยุทธ์การตลาดบ้าง แต่ต้องบอกว่า SEO หรือ Search Engine Optimization (การทำตลาดผ่านระบบค้นหา) ไม่ว่าจะระบบ Google, Yahoo, Bing, MSN หรือช่องทางอื่นที่นิยมค้นหา แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ Online Marketing หรือการทำการตลาดในช่องทางออนไลน์ ก็ยังเป็นที่ศึกษากันมาก และต้องการสร้างรายได้จากช่องทางนี้ เนื่องด้วยง่าย สะดวก และใช้กำลังแค่แรงสมองเพื่อสร้างกลยุทธ์ หรือทีเด็ดเพื่อให้ดึงดูดลูกค้ามากขึ้น คำถามมีอยู่ว่า แล้วเราจะสร้างจุดเด่นทาง Online Marketing ในช่องทาง SEO ได้อย่างไร? ข้อดีของช่องทาง SEO คือเราไม่ต้องลงทุนเลย ใช้แค่แรงสมองเท่านั้นเพื่อคิดไอเดียในการเพิ่ม Traffic หรือจำนวนผู้ชม ยอดวิวเพื่อที่จะได้เห็นจุดเด่นของการตลาดของเรามากขึ้น จากย่อหน้าแรกจะขออธิบายในส่วนของการทำตลาดออนไลน์ เราจะทำยังไงให้โดนใจใน SEO ที่สุดเราจะทำ Online Marketing ยังไงให้โดนใจ SEO ที่สุด? จะแนะนำแนวทางได้ดังนี้1. ความต้องการตลาดคืออะไร ต้องสังเกตก่อนว่าในท้องตลาดต้องการอะไรที่สุด ในสถานการณ์นี้อะไรคือสิ่งที่ต้องการมากที่สุดของมนุษย์ยุคเทคโนโลยี ยกตัวอย่าง ช่วง COVID-19 นอกจากต้องการสิ่งที่ส่งถึงบ้านแล้ว ในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองยังต้องการสินค้าที่ค่าใช้จ่ายถูกลง แต่คุณภาพสูง เพื่อให้ครอบคลุมมาตรการรัดเข็มขัดของประชาชนในแต่ละครัวเรือน การตลาดออนไลน์ไม่ใช่แค่ซื้อขายอย่างเดียว ควรศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์เพื่อที่จะกำหนดราคาโดยไม่ทำร้ายจิตใจคนที่ลำบากจนเกินไป และตอบโจทย์ความต้องการในสิ่งที่คนทั่วไปไม่มีได้2. Type ของ SEO ที่ต้องการคืออะไร ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจชนิดของ SEO ที่สามารถเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องลงทุน จะแบ่งชนิดธุรกิจได้สองลักษณะที่ยังทำได้อย่างถูกกฎหมาย คือ ธุรกิจสายขาวกับธุรกิจสายเทาธุรกิจสายขาว เช่น ธุรกิจทั่ว ๆ ไป ที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งตนเองและส่วนรวม เช่น คลินิก งานบริษัท ความงาม งานราชการ กลุ่มงานอสังหาริมทรัพย์ สุขภาพ E-Commerce การทำ Dropship หรือธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อแสวงผลประโยชน์เข้าตัวธุรกิจสายเทา เช่น สายพนันทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น Baccarat (บาคาร่า) พนันบอลออนไลน์ Slot Machine หรือการพนันในรูปแบบอื่น ๆ ที่เข้าข่ายเรื่องพนัน3. จุดเด่นของ Online Marketing ของคุณคืออะไร ทุกอย่างคือการแข่งขัน แม้กระทั่งธุรกิจ นี่คือสิ่งที่ต้องตอบคำถามข้อนี้ให้ได้ว่า "ทำไมเราต้องสนใจในแบรนด์ของคุณ" เพื่อให้คุณดึงจุดเด่น กล้าที่จะสร้างความแตกต่างของตัวเองเพื่อนำเสนอให้คนรู้จักเรามากขึ้น อย่ามองคำถามนี้ว่าเป็นคำถามที่คอยขัดแข้งขัดขา ให้มองว่านี่คือคำถามเชิงบวก (Positive Question) เพื่อให้เรากล้าเสนอสิ่งที่เป็น Signature ของแบรนด์เพิ่มขึ้น ถ้าอธิบายเคลียร์ในช่องทางนี้ได้เมื่อไหร่ จำนวนการซื้อขาย ยอดวิว ยอดผู้ติดตามจะเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าอธิบายไม่ชัดเจน หรือตอบแค่สั้น ๆ แบบเข้าใจที่ฉันคนเดียว เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกแบรนด์อื่นที่ดีกว่าแบรนด์ของคุณได้เช่นกัน4. ต้องไม่ใช่ Copy Paste กลยุทธ์ในการทำตลาดออนไลน์แน่นอนว่าวิธีทำอาจจะไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ แต่ช่องทาง SEO ต้องเป็นการตลาดที่โดดเด่นจริง ๆ ดึงดูดลูกค้าได้เมื่อค้นหามัน แผนงานต้องไม่ใช่ Pattern เดิม ๆ ทุกงาน และวิธีการดำเนินงานต้องกล้าที่จะแตกต่างจากคู่แข่ง ถ้าหากซ้ำซาก ตัวแบรนด์ก็จำเจจากที่อื่น จะเกิดความเบื่อหน่าย ให้ความรู้สึกว่าดูเชย ไม่ตอบโจทย์กลุ่มใหญ่ และแบรนด์ของเราจะขาดความน่าสนใจไปโดยปริยาย5. ต้องเข้ากระแส (ที่ดี) การที่จะเข้ากระแสได้นั้นต้องแยกแยะว่าช่วงนี้อะไรเด็ด ๆ พอที่จะสร้างกลไกการตลาดได้บ้าง เพื่อที่เป็นจุดสนใจมากขึ้น เช่น เทรนด์ที่ใช้มุกขำ ๆ จากเพลงของเจน นุ่น โบว์ ของซูเปอร์วาเลนไทน์ ในการกระตุ้นขายสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของสถาบันสอนภาษาชื่อดัง, ใช้แมวเพื่อนำเสนอกระดาษทิชชู เพื่อเอาใจคอทาสแมว หรือเทรนด์อื่น ๆ ในแต่ละยุค เพื่อที่จะสร้างจุดสนใจ ทำให้สะดุดตา เกิดความอยากรู้จักสินค้ามากขึ้น แต่กระแสต้องไม่เชยจนรู้สึกเฉย ๆ หรือกระแสต้องเป็นทิศทางที่ดี ไม่มอมเมาในทางที่ผิดด้วย แล้วนี่เองก็เป็นการนำหลักการตลาดออนไลน์ไปใช้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงไหนก็ตาม แน่นอนว่าถ้าไอเดียคุณปังจนฉุดไม่อยู่ ยังไงก็ต้องถูกใจ SEO อย่างแน่นอน ในช่วง New Normal แบบนี้ การทำพวก SEO ก็เป็นเรื่องนิยมเพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน ผู้เขียนหวังว่าจะสร้างรายได้อย่างไม่จำกัด ในกลุ่มคนว่างงาน ฟรีแลนซ์ หรือนักเรียนนักศึกษาที่ไม่อยากแบมือขอพ่อแม่ จะตอบโจทย์ บรรเทาความลำบากที่มีไม่มากก็น้อย และในอนาคตข้างหน้า Online Marketing อาจจะเป็นสาขาที่ต้องการในไม่ช้าภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3
ลูกฉันเป็นคนดี • 27 พ.ค. 63
อ่าน
รีวิวหนังสือ INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูด
โลกของการทำธุรกิจย่อมไม่อาจปฏิเสธการตลาดได้เลย และการตลาดแบบ INBOUND MARKETING การตลาดที่ดึงลูกค้าให้เป็นฝ่ายสนใจอยากเข้ามาหาเราเองนั้นก็ถือว่าต้องวางแผนและมีชั้นเชิงอยู่พอสมควร ไม่ใช่แค่การโพสต์ การยิงแอดโฆษณาแล้วลูกค้าจะมาสนใจเราได้หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Content Shifu โดยจะมาเปิดเผยถึงความหมายที่แท้จริงของการทำ INBOUND MARKETING แม้แต่คนที่ไม่คุ้นเคยเรื่องการตลาดก็อ่านได้ง่าย เข้าใจและรู้เรื่อง ความรู้ความประทับใจที่ได้ในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่า Inbound Marketing คือโฟกัสการดึงดูดลูกค้าเป้าหมายให้เข้ามาหา ผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่ส่งมอบคุณค่า พูดง่ายๆคือทำการตลาดให้ตอบโจทย์ผู้รับสารจนลูกค้าอยากเข้าหาเอง ไม่ไปโฆษณาตามช่องทางต่างๆให้เสียเงิน ได้เรียนรู้ว่าหลักการตั้งเป้าหมายแบบ S.M.A.R.T ได้แก่Specific มีความเจาะจง เช่น ต้องการให้คนติดต่อซื้อของจากเรามากๆและใช้ Facebook Ads และ Google Adwords เข้าช่วยMeasurable คือเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น มียอดขาย 100 ล้านบาท และลูกค้า 300,000 คนAchievable เป้าหมายที่ตั้งต้องเป็นไปได้จริงRelevant เป้าหมายมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราTime-bound มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน ได้เรียนรู้ว่า Call to action (CTA) คือการเรียกหรือกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำบางสิ่ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการทำการตลาด เนื่องจากเป็นการส่งสารให้คนตอบสนองต่อข้อเสนอของเรา เช่น การสมัครสมาชิก การซื้อของ การแชร์และบอกต่อ โดยมีโอกาสเปลี่ยนคนแปลกหน้าเป็นลูกค้าตัวจริง เป็นต้น ได้เรียนรู้ว่า Landing Page คือ หน้าเว็บไซต์ที่คนเข้าถึงเป็นหน้าแรก ในเชิงการตลาดออนไลน์แล้ว Landing Page จะเป็นหน้าที่ออกแบบและสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ได้เรียนรู้ว่า CRM (Customer Relationship Management) เป็นศาสตร์เกี่ยวกับการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวางกลยุทธ์และเครื่องมือโซเชียลมีเดียที่จะใช้ ได้เรียนรู้ว่า User Experience (UX) คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้ การจะทำได้ดีต้องรู้จักทำความเข้าใจ User หรือลูกค้าอย่างถ่องแท้ และรู้ว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคืออะไร ต้องทำอะไร อย่างไร เมื่อไหร่ และที่ไหน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น คล้ายๆกับการตอบคำถาม Who Why Where What How หากไม่เข้าใจโจทย์ การสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ก็เป็นเรื่องยาก ได้เรียนรู้ว่าเมื่อลูกค้ายังไม่พร้อมซื้อ จงมอบคุณค่า แต่เมื่อลูกค้าพร้อมซื้อ จงขายสินค้าหรือบริการ จะรู้ว่าใครพร้อมซื้อหรือไม่พร้อมซื้อ จะทำการตลาดหรือทำคอนเทนต์แบบไหน ให้ใช้หลักการ Sales Funnel หรือกรวยแห่งการขาย ประกอบด้วยToFu (Top of the Funnel) คือช่วงที่คนแปลกหน้าสนใจหรือมีคำถามข้อสงสัยอยากจะได้คำตอบเพื่อแก้ปัญหา จุดนี้อย่าเพิ่งเน้นการขาย แต่ให้เน้นเรื่องคำตอบผ่านบทความที่ส่งมอบคุณค่าเพื่อแสดงถึงความเชี่ยวชาญของเราMoFu (Middle of the Funnel) คือช่วงที่ลูกค้ากำลังพิจารณาทางเลือก เราจึงหาจังหวะแทรกการขายและโฆษณาให้ลูกค้าในขั้นตอนนี้BoFu (Bottom of the Funnel) คือช่วงที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเรา จึงต้องเน้นการขายในขั้นตอนนี้ ได้เรียนรู้ว่าการทำ Email Marketing มีข้อควรระวังต่างๆ เช่น ควรใช้ Email Marketing Software แทนการส่งอีเมลแบบธรรมดา เพราะมันไม่ได้ออกแบบให้ส่งอีเมลครั้งละมากๆ การใช้ซอฟต์แวร์อย่าง MailChimp จะช่วยเรื่องวิเคราะห์สถิติได้ อีกทั้งอีเมลที่ได้ควรเป็นลูกค้าของเราจริงๆ ไม่ใช่ไปซื้อ list อีเมลของคนอื่นมา แบบนั้นจะไม่เห็นผลดีในระยะยาว เราต้องเป็นเจ้าของรายชื่ออีเมลพวกนั้นจริง เป็นเจ้าของช่องทางการติดต่อโดยตรง ได้เรียนรู้ว่า B2C ย่อมาจาก Business to Customer หมายถึง ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคทั่วไป และ B2B ย่อมาจาก Business to Business หมายถึง ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือให้บริการแก่ลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นองค์กร หน่วยงาน ยกตัวอย่าง ธุรกิจผลิตสินค้าขายส่ง ธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) บริษัทเอเจนซี บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจหรือกฎหมายให้องค์กร เป็นต้น ได้เรียนรู้ว่า Market Automation คือซอฟต์แวร์และเทคนิคการเลี้ยงดูคนที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า ด้วยคอนเทนต์ที่มีประโยชน์เฉพาะสำหรับคนๆนั้น เพื่อจะได้เปลี่ยนพวกเขาเป็นลูกค้า ได้เรียนรู้ว่าการตลาดแบบขาดแคลน คือ การทำให้สินค้าที่ขายตามปกติมีจำนวนจำกัด หรือขายในราคาพิเศษในช่วงเวลาที่จำกัด สิ่งสำคัญคือสินค้านั้นต้องดี มีคุณภาพจริง การเขียน Copywriting ต้องได้ เป็นคำอธิบายแบบกระตุกจิตกระชากใจ ความซื่อสัตย์ต้องมี เช่น ราคาพิเศษนี้เหลือเวลาอีก 12 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ครบกำหนดเวลาก็ต้องยุติราคาพิเศษจริง ไม่ใช่ขายวันไหนก็ยังราคาพิเศษอย่างเดิมแบบนั้น เพราะต่อไปคนจะไม่เชื่อถืออีกต่อไป และนี่คือแนวคิดที่ได้ภายในเล่ม ยังมีประเด็นการตลาดอีกหลายข้อให้ได้ติดตามภายในเล่ม สำหรับใครที่ทำธุรกิจส่วนตัวหรือทำงานด้านการตลาดแล้ว ความรู้ภายในหนังสือเล่มนี้ถือเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีความสำคัญมากเลยทีเดียว เพราะการตลาดถือเป็นหนึ่งในแกนหลักสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจดำเนินการต่อไปได้ แม้แต่ตัวครีเอเตอร์เองที่ยังไม่ได้ทำธุรกิจอย่างจริงจัง พอได้อ่านแล้วก็เกิดแนวคิดที่จะทำให้สิ่งที่ครีเอเตอร์กำลังทำอยู่ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่านการทำการตลาดเช่นกัน ใครที่ยังทำการตลาดแต่ยังไม่รู้จักถึง INBOUND MARKETING ก็ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ไว้เป็นแนวทางของการทำการตลาดแบบยั่งยืนต่อไปครับเครดิตภาพภาพปก โดย our-team จาก freepik.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย pikisuperstar จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย our-team จาก freepik.comบทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ DIGITAL MARKETING UNLOCKED ปลดล็อกการตลาดดิจิทัลรีวิวหนังสือ ขายดี 24 ชั่วโมงไม่ต้องยิงแอดรีวิวหนังสือ ทำธุรกิจแบบผู้ชนะในทุกสถานการณ์รีวิวหนังสือ TESTED SELLING เดชคัมภีร์ลับ นักขายนอกตำรารีวิวหนังสือ เสียงย่างเนื้อ บันทึกลับสุดยอดนักขายไร้กระบวนท่าเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
Watcharapon • 1 มิ.ย. 66
อ่าน
เมื่อทุกองค์กรสามารถทำ "Community Marketing" ได้
เมื่อทุกองค์กรสามารถทำ Community Marketing ได้หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า Community Marketing นั้นได้ถูกใช้มานานแล้ว และผู้เขียนมองว่า Community Marketing ที่แหละที่เป็น Key หลักที่จะช่วยให้หลาย ๆ ธุรกิจอยู่รอดได้ในช่วงเวลาที่วิกฤตมากมายได้ถาโถมเข้ามาเช่นนี้Community Marketing คืออะไร?คำว่า “Community” แปลว่าชุมชน ที่ที่มีคนหลายคนมาอยู่ร่วมกัน และ Community Marketing ก็คือกลยุทธ์ทางการตลาดที่รวมกลุ่มและทำกิจกรรมกับกลุ่มคนที่มีความสนใจเดียวกันโดยความสนใจนั้นเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรานั่นเอง เช่น กลุ่มคนรักรถ, กลุ่มไบค์เกอร์, สมาคมกล้องฟิล์ม หรือกลุ่มแฟนคลับศิลปินเป็นต้นโอกาสของการจับ Community Group คืออะไร?🏈 มนุษย์มีความต้องการ “เพื่อน” ที่เห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง หรือคนที่ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยน และระบายความรู้สึก เช่น คนชอบดูซีรีส์เหมือนกัน ก็จะมีพื้นที่เมาท์มอยกัน🏈 Community Group เปรียบได้กับ “การปลูก” กลุ่มลูกค้า แม้ในช่วงแรกคนเหล่านี้จะไม่ได้เป็นลูกค้าอย่างเต็มตัว แต่เมื่อเราสร้างความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ คนกลุ่มนี้ก็จะพัฒนามาเป็นลูกค้าของเราในที่สุด ยกตัวอย่างเช่นซอฟต์แวร์ออกแบบแบรนด์หนึ่งที่สามารถขายได้ระหว่างองค์กรเท่านั้น (เป็นธุรกิจ B2B) แต่ธุรกิจนี้มี Community ที่ให้นักเรียนนักศึกษามาทดลองใช้ มาพูดคุยกันได้ เมื่อคนกลุ่มนั้นเรียนจบ เข้าทำงานในบริษัท เขาก็จะจำแบรนด์นี้ได้และบอกให้บริษัทซื้อให้ได้ในที่สุด🏈 Community Group ทำให้เจ้าของธุรกิจได้มีโอกาส “ใกล้ชิด” ลูกค้ามากขึ้น ทำให้ทราบความต้องการของลูกค้า ผ่านการสอดส่องดูแลกลุ่ม และเห็น Feedback ได้ง่ายขึ้น🏈 กิจกรรมบางอย่างของ Community Group เป็นช่องทางใหม่ในการหารายได้ เช่น การสอน การทำสินค้าพิเศษมาขาย เป็นต้นช่องทางการทำ Community Marketing มีอะไรบ้างOffline ได้แก่ การจัดตั้งชมรม กลุ่ม สมาคม หรือการจัด Meeting สัมมนา การเรียนการสอน ให้กับกลุ่มคนที่มีความสนใจOnline ได้แก่ การเปิดเว็บบอร์ดให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น (เช่นเว็บไซต์ pantip.com) หรือที่ง่ายกว่านั้นก็คือการตั้ง Facebook Group ขึ้นมา แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละบริษัท แต่ทำเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าองค์ประกอบของ Community Marketingมีด้วยกัน "5ค" ดังต่อไปนี้ค่ะ😁 คน (ธุรกิจและลูกค้า โดยมีตัวเชื่อมคือสินค้าหรือบริการของเรา)แน่นอนว่าใน Community จะต้องมี “คน” ธุรกิจจะต้องหาจุดร่วมระหว่าง ฝั่งธุรกิจ ฝั่งลูกค้า และฝั่งสินค้าหรือบริการตัวอย่างเช่นหากร้านพิซซ่าอยากจะทำ Community Marketing เขาจะต้องรู้จักกิจการตัวเองเป็นอย่างดี รู้จักลูกค้าอย่างครอบคลุม ว่าคนที่จะมาเข้าร่วม Community เป็นคนชอบ “ทำ” หรือชอบ “กิน” พิซซ่ามากกว่ากัน และจะตั้งกลุ่มเพื่อคนประเภทไหน และสุดท้ายก็ต้องรู้จักสินค้าของตัวเองซึ่งก็คือพิซซ่านั่นเอง แล้วจากนั้นก็หา “กิจกรรม” และ “ความสัมพันธ์” ที่จะเชื่อมทั้งสามส่วนเข้าด้วยกัน ซึ่งจะกล่าวในข้อต่อไป🙌 ความสัมพันธ์ (กำหนดให้ชัดเจน)กิจการจะต้องเลือกกำหนดความสัมพันธ์กับลูกค้าใน Community ให้ชัดเจน ซึ่งความสัมพันธ์ต่อลูกค้าใน Community อาจจะเป็นความสัมพันธ์คนละแบบกับลูกค้าทั่วไปตัวอย่างความสัมพันธ์ เช่น เพื่อน คนรัก พาร์ทเนอร์ ที่ปรึกษา กิจการจะต้องเลือกให้ชัดเจนว่าจะเป็นใครในใจลูกค้ากลุ่มนี้ และความสัมพันธ์มีลักษณะเด่นตรงที่ว่า “มันสามารถพัฒนาได้” หมายถึง จากเพื่อน อาจจะกลายเป็นคนรัก จากคนรักอาจจะกลายเป็นสาวก ที่ทำหน้าที่แชร์หรือรีวิวสินค้าให้เราได้นั่นเองหากเรากำหนดความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน กิจกรรมทางการตลาดที่ตามมาก็จะชัดเจนเช่นกัน🥳 คิดริเริ่มสร้างสรรค์ (มีกิจกรรมที่สดใหม่และตอบโจทย์ Community ของเรา)หากขาดกิจกรรม Community ก็จะกลายเป็นน้ำตาย เป็นป่าช้า หรือเป็นกลุ่มร้าง ดังนั้นผู้ดูแลจะต้องมีกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้น Community ของเราตัวอย่างเช่นร้านขายช็อคโกแลต Minimal ในประเทศญี่ปุ่น ที่มี Community สำหรับคนรักช็อคโกแลต และมีกิจกรรมมากมาย เช่น สอนทำช็อคโกแลต พาชิมช็อคโกแลต ชวนพูดคุยให้ความรู้เกี่ยวกับช็อคโกแลตเป็นต้น โดยมีติดประกาศอีเวนท์ของ Community ที่จะจัดขึ้นอยู่เป็นระยะทุกธุรกิจสามารถเอาอย่างแบรนด์ Minimal ได้ เช่น ร้านขนม ร้านกาแฟ ร้านเกม ฯลฯ หากตีโจทย์ให้แตก คิด 2ค แรกให้จบ กิจกรรมเจ๋ง ๆ ที่ตรงใจลูกค้าก็จะตามมาเอง👄 คุย (มีการแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็น)Community ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์หรือออนไลน์ และการเปิดให้มีการ “คุย” ก็จะสร้างประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การได้รับฟัง Feedback ของลูกค้า หรือบางครั้งลูกค้าคนหนึ่งเกิดข้อสงสัย ลูกค้าอีกคนก็ทำหน้าที่ตอบคำถามให้เรา ด้วยความเป็นกันเองผู้ผลิตซอฟต์แวร์หลายแบรนด์ อย่างเช่นโปรแกรมออกแบบสามมิติอย่าง SOLIDWORKS ก็ได้มีกลุ่ม Community และให้คนกลุ่มนี้มาทดลองใช้โปรแกรมก่อนเพื่อน จากนั้นก็รับฟัง Feedback การใช้งาน เพื่อพัฒนาปรับปรุงในเวอร์ชันต่อ ๆ ไป🧑🏻🔧 ควบคุม (มีกฎและมีกรอบ)เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น เจ้าของ Community จะต้องมีกฎระเบียบเพื่อการควบคุม ตัวอย่างเช่นมีกติกาชัดเจนว่าจะต้องใช้คำพูดสุภาพ ห้ามฝากร้าน หรือโพสต์ได้ 1 ครั้งต่อวัน (บนออนไลน์) ตามความเหมาะสมนอกจากมีกฎแล้ว “การมีกรอบ” ก็จะทำให้สามารถ Focus กลุ่มได้อย่างเหมาะสม อันนี้แล้วแต่การวางแผน เช่น กำหนดอายุ เพศ หรือความสนใจที่แคบลงมา เป็นต้นผลดีที่เกิดขึ้นจากการทำ Community Marketing 🎯 พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า จากคนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อน จากที่ไม่เคยซื้อก็จะมีโอกาสซื้อมากยิ่งขึ้น จากที่ซื้ออยู่แล้วก็ซื้อซ้ำอีก🎯 เกิด Brand Loyalty ลูกค้าจะปกป้อง และเถียงแทนแบรนด์ของเราโดยที่เราเองอาจจะไม่ต้องทำอะไร (เหตุการณ์แบบนี้มีอยู่ทุกวงการให้ลองนึกภาพแฟนคลับไอดลหรือบอลดู)🎯 เกิดความยั่งยืนในการทำธุรกิจ อย่างน้อยคุณสามารถมั่นใจในระดับหนึ่งว่าลูกค้าที่คุณดูแลเป็นพิเศษเขาจะไม่ทิ้งคุณไปไหนอย่างแน่นอนและทั้งหมดนี้ก็คือ Community Marketing ที่ทุกธุรกิจสามารถนำไปใช้ได้ค่ะบทความโดย : โอ้ กาญจน์ศิริ🏆 บทความน่าสนใจรีวิว 7 แอปพลิเคชันสอนภาษาอังกฤษมาแรง โหลดฟรี!!!6 หนังสือ How To เล่มบาง เนื้อหาเน้น เข้าใจง่าย พกพาสะดวก อ่านจบได้ใน 1 วันแนะนำ 🎧 Podcast เจ๋ง ๆ สำหรับการพัฒนาตัวเอง “ทุกด้าน”แนะนำช่อง YouTube สอนภาษาอังกฤษของ "ครูต่างชาติ" ที่จะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษเก่งมากยิ่งขึ้นถ้าชอบบทความ ไปติดตามกันต่อยาว ๆ ได้ที่🖼️ ส่องรูป/ดูสตอรี่ : (IG) ohkansiri😎 เพจสาระ "เรียนรู้ไปด้วยกันนะ"🎸 ร้องเพลงให้ฟัง "Oh Kansiri" 💻 ช่องที่มีสาระเพียบ 💾 เว็บไซต์ตัวเอง ที่กำลังพัฒนา 🖊️ กว่า 200 บทความ จาก TrueID In-Trend 📱 เบอร์โทร : เอาบ้านเลขที่ไปเลยดีกว่าเครดิต ภาพปก ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 แต่งภาพโดย canva
OhKansiri • 13 มิ.ย. 63
อ่าน
INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูด ใครรู้ก่อนได้เปรียบ
INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูด ใครรู้ก่อนได้เปรียบในยุคที่ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงกันได้แบบง่าย ๆ นี้ ธุรกิจหลาย ๆ แห่ง พยายามปรับตัวเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ออนไลน์ แม้กระทั่งผู้ที่สนใจทำธุรกิจ ก็สามารถเริ่มต้นได้อย่างง่าย ๆ ผ่อนสื่อออนไลน์ ฉะนั้นเรื่องของการตลาดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือผู้ที่สนใจที่จะทำธุรกิจผ่านโลกออนไลน์ในยุคนี้ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ และการตลาดอีกรูปแบบหนึ่งที่ถูกผู้คนพูดถึงมากที่สุด นั่นก็คือ Inbound Marketingภาพโดยผู้เขียน บวร ครบุรีหนังสือ Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูด เล่มนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านการตลาด เป็นหนังสือที่ควรมีติดมือไว้สำหรับผู้ที่สนใจทำการตลาดออนไลน์ เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ครบถ้วน ชัดเจน ที่สำคัญอ่านง่ายเข้าใจได้ไม่ยาก ผู้ไม่มีพื้นฐานก็สามารถอ่านแล้วนำความรู้ไปใช้ได้เลยทันทีภาพโดยผู้เขียน บวร ครบุรีโดยหนังสือเล่มนี้ ได้แบ่งเป็นเคล็ดวิชาที่รวบรวมมาจากประสบการณ์ และบริษัทหรือแบรนด์ใหญ่ ๆ นำไปใช้แล้วได้ผลมาแล้วมากมาย รวบรวมไว้ถึง 50 เคล็ดวิชา สรุปเนื้อหาจากผู้เขียน ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันอบรมด้าน Digital Marketing ที่มีชื่อว่า Content Shifu โดยหนังสือเล่มนี้ เป็นเนื้อหาและเทคนิคการตลาด ตามแบบฉบับของการตลาดแบบแรงดึงดูด หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า Inbound Marketingภาพโดยผู้เขียน บวร ครบุรีในยุคที่คอนเทนต์ครองตลาด หลาย ๆ ธุรกิจต่างก็พยายามสร้างคอนเทนต์ เพื่อสร้างฐานผู้ติดตามหรือฐานลูกค้า แล้วคอนเทนต์แบบไหนล่ะ ที่จะสามารถสร้างความแตกต่างโดดเด่น และสามารถสร้างผลลัพธ์ให้กับธุรกิจของคุณได้หนังสือเล่มนี้คือคำตอบ ที่จะเปิดเผยเทคนิคการทำการตลาดผ่านคอนเทนต์ตามสไตล์ Inbound Marketing ว่าทำอย่างไรที่จะทำให้คอนเทนต์โดดเด่นและแตกต่าง และสร้างผลลัพธ์ได้จริง ตั้งแต่เริ่มต้นรวมทั้งแนวคิดและวิธีการ รวมไว้ในหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่เนื้อหาด้านในไม่เล็กและทรงพลังเป็นอย่างมากภาพโดยผู้เขียน บวร ครบุรีเพราะการตลาดในยุคนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ใช่เพียงนักการตลาดเท่านั้นที่ต้องรู้เคล็ดลับของ Inbound Marketing แต่ทุก ๆ คนที่สนใจอยากจะทำธุรกิจออนไลน์ แม้กระทั่งพ่อค้าแม้ค้าออนไลน์ ก็ควรที่จะต้องศึกษาเคล็ดวิชาในหนังสือเล่มนี้ เพื่อที่คุณจะสามารถสร้างความแตกต่างจากการตลาดแบบเดิม ๆ ทั่วไป แต่เป็นการตลาดที่มีแรงดึงดูดเท่านั้น ที่จะดึงดูดลูกค้าเข้ามาหาธุรกิจของคุณได้มากกว่าและสร้างผลลัพธ์ให้คุณได้มากกว่า ต้องอ่านเลยเล่มนี้ Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูดหนังสือ Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูดผู้เขียน Content Shifuจำนวน 232 หน้าราคา 265 บาทมีจำหน่าย ตามร้านหนังสือทั่วไป
บวร ครบุรี Bovorn Khonburi • 2 มี.ค. 63
อ่าน
รีวิวคอร์สเรียนออนไลน์ Digital Marketing ของSET E-Learning
ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบทางด้านการเงิน ผู้คนเริ่มสนใจการหารายได้ทางออนไลน์กันมากขึ้น บางคนสนใจเป็น Start Up หรือที่เรียกกันว่าธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อรองรับทางด้านไอที หากไม่มีความรู้ทางด้านนี้มาอาจจะทำให้เริ่มไม่ถูก ผู้เขียนก็เช่นกันเมื่อทราบว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET E-Learning) จัดทำคอร์สออนไลน์แหล่งเรียนรู้การเงินและการลงทุน เรียนได้ตลอด 24 ชั่วโมง สอนโดยวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญ เรียนจบตามเกณฑ์ที่กำหนดมีวุฒิบัตรให้ และที่สำคัญที่สุดคือ เรียนฟรี วันนี้ผู้เขียนมารีวิวคอร์สเรียนที่น่าสนใจชื่อคอร์ส "Digital Marketing" ซึ่งใช้เวลาไม่นานมากในการเรียนรู้ เนื้อหากระชับ เหมาะแก่ผู้เริ่มต้น เริ่มจากเข้าเว็บไซต์ https://elearning.set.or.th/ เมื่ออยู่หน้าเว็บไซต์ กดเข้าสู่ระบบได้เลยหากมีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว หากยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกต้องสมัครก่อนจึงจะเข้าสู่ระบบได้ จากนั้นในช่องแว่นขยายตรงมุมขวาข้างบนที่วงกลมสีแดงไว้ให้พิมพ์คำว่า Digital Marketing เปิดมาจะเจอหน้าหลักสูตรสอนโดยวิทยากรคุณนิติ มุขยวงศา ระยะเวลาเรียนรวมทั้งหมด 1 ชั่วโมง มีคำอธิบายรายวิชา โครงสร้างหลักสูตรที่ต้องเรียน เมื่อคลิกหัวข้อเข้าเรียนจะมีเอกสารให้โหลดเป็นไฟล์ pdf ก่อนเรียนต้องทำแบบทดสอบก่อนเข้าเรียนจำนวน 5 ข้อ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้มาก่อน เพราะหลังเรียนจบแล้วต้องทำแบบทดสอบหลังเรียนเพื่อให้ครบตามหลักสูตรในบทเรียนเราจะได้เรียนเนื้อหาคร่าวๆดังนี้ Part 1 Data Driven Marketing เวลาเรียนประมาณ 15 นาที เรียนรู้เกี่ยวกับการนำข้อมูลจากลูกค้าที่เก็บรวบรวมได้มาต่อยอดการทำธุรกิจ เปรียบเทียบการทำธุรกิจยุคเก่ากับยุคใหม่ Part 2 Digital Marketing Funnel เวลาเรียน 9 นาที ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ Marketing Funnel มาช่วยวางแผนการตลาด ช่วยกรองกลุ่มลูกค้าที่เราต้องการทำการตลาด Part 3 Marketing tools เวลาเรียน 11 นาที เรียนรู้เกี่ยวกับการนำเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ไปใช้ในการเข้าถึงลูกค้าและทำให้ลูกค้าสนใจการตลาดของเรามากขึ้นเมื่อเรียนมาถึงบทสุดท้าย ต้องทำแบบทดสอบหลังเรียนรู้โดยต้องเข้าเรียนไม่น้อยกว่า 80% จึงจะได้รับวุฒิบัตร เราสามารถดาวน์โหลดเก็บไว้ได้เลย ถือเป็นหนึ่งแหล่งการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้เริ่มต้นที่สนใจทำธุรกิจทางด้านออนไลน์ อย่างน้อยให้พอมองภาพรวมออกว่าสิ่งที่ต้องวางแผนคร่าวๆต้องเตรียมอะไรบ้าง ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนรู้สึกพอใจกับคอร์สเรียนออนไลน์ของ SET E-learning เพราะคอร์สใช้เวลาไม่มาก ทำให้รู้สึกไม่ท้อแท้ว่าจะถึงจุดหมายเมื่อไหร่ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการต่อยอดศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำการตลาดในโลกออนไลน์ เป็นเสมือนก้าวเล็ก ๆ ตามจุดประสงค์ของคอร์สที่บอกไว้ว่าเหมาะแก่ผู้เริ่มต้นเป็นอย่างดี ให้ความรู้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากผู้อ่านสนใจก็ลองสมัครลงเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างต้องศึกษาเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับประสบการณ์ ผู้เขียนเชื่อว่าสิ่งที่ตอบแทนมาต้องคุ้มค่าต่อตัวเราแน่ รูปภาพทั้งหมดโดยผู้เขียนคุณแมวถุงทอง นำมาจาก:https://elearning.set.or.th/
คุณแมวถุงทอง • 11 มิ.ย. 63
อ่าน
รีวิวประสบการณ์การฝึกงาน Content Marketing (แบบ WFH) ที่ บริษัท Knoware
สวัสดีผู้ที่เข้ามาอ่านทุกคนนะคะ 🙏🏻 เราเชื่อได้เลยว่า คนที่เข้ามาบทความนี้อาจจะมีความสนใจ ยังลังเล หรือจะสมัครดีไหมนะบริษัทนี้ อยู่ใช่ไหมล่ะคะ… วันนี้เราเลยอยากจะมาแชร์เรื่องราวของเรากับการทำงานที่บริษัทนี้กับทุกคนกันค่ะ เผื่อว่าจะเป็นข้อมูลดี ๆ นำไปใช้ในการตัดสินใจของทุกคนได้ 😄 เริ่มต้นกว่าจะมาเป็นนักศึกษาฝึกงานเริ่มแรกเลยนะคะ เราหาที่ฝึกงานจากเพจหางานค่ะ ซึ่งมีอยู่หลายเพจมากเลยค่ะในเฟซบุ๊ก จนหาไปหามาก็มาถูกใจกับบริษัทหนึ่งที่ชื่อว่า บริษัท Knoware ค่ะ เราก็อ่านข้อมูลทั้งหมดที่ทางแอดมินโพสต์ไว้ ซึ่งตำแหน่งตอนนั้นที่ทางแอดมินโพสต์หาก็จะมีหลากหลายนะคะ ทั้ง Content Marketing, Editor, Graphic, CRM (Customer Relationship Management), Admin และก็อีกหลายตำแหน่งค่ะ ตอนแรกเราก็เป็นเหมือนทุกคนแหล่ะค่ะ ลังเลว่าจะเอาที่นี่ดีไหม เพราะใจก็อยากทำงานที่มันตรงสาย เพราะเราเรียนสายภาษามา (อยากใช้มันบ้าง555) แต่…มันใกล้จะครบกำหนดการหาที่ฝึกงานตามที่คณะกำหนดไว้ กลัวว่าจะไม่ทัน ทำให้เราตัดสินใจเลือกที่จะสมัครฝึกงาน Content Marketing กับบริษัทนี้ เพราะชอบการเขียนอยู่แล้ว เราก็เลยสมัครงานไป กรอกนั่นกรอกนี่ ส่งนั่นส่งนี้เสร็จสรรพ ก็รอว่าจะผ่านคุณสมบัติรอบแรกไหม สรุปว่า ผ่าน ก็ไปรอสัมภาษณ์ต่อ จะบอกว่ารอบสัมภาษณ์ พี่ HR ถามคำถามเยอะมากกก โดยคำถามส่วนใหญ่ก็จะเป็นในสายงานที่เราสมัครเลย อย่างเช่นคิดว่าอะไรที่จะเป็นตัวสื่อสารคอนเทนต์นั้น ๆ ให้คนสนใจได้ ? Headline สำคัญไหม ? แนว ๆ นี้ค่ะ แต่มีเยอะกว่านี้ เราก็จำไม่ได้เพราะมันนานมากก เอาเป็นว่า ต้องเตรียมตัว เตรียมคำถาม เตรียมคำตอบดี ๆ นะคะ สรุปสัมภาษณ์เสร็จรอไม่นานค่ะ เพราะบอกวันนั้นเลย เราผ่าน ต่อไปก็เริ่มฝึกงานเต็มตัวฝึกงานที่ Knowareวันแรกพี่ ๆ เขาก็จะให้เข้าไปปฐมนิเทศทำความรู้จักกับพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในบริษัทนะคะ แล้วก็แยกออกมาทำความรู้จักพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในสายงานเราต่อ ในสายเราก็จะมีทั้ง Content Marketing, Graphic และ Editor จะทำงานด้วยกันค่ะ เราอยากให้ทุกคนรู้ตรงนี้ด้วยว่า บริษัท Knoware เป็นบริษัทแม่ค่ะ ทางบริษัทจะมีแยกไปอีกหลายบริษัททั้ง โรงเรียนคู่ขนาน, Fishsix และก็เป็นบริษัทพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ ค่ะ ถ้าถามว่าฝึกงานที่นี่ดีไหม ?เราขอบอกว่า มีข้อดีเยอะค่ะ มันเหมือนทำให้เราก้าวออกจาก Comfort Zone ได้เลยนะทุกคน ถ้าความรู้สึกเราจากการทำงานที่นี่ เพราะเราได้อยู่ในกลุ่มสังคมใหม่ ๆ ได้ทำงานที่เราไม่เคยทำมาก่อน ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ เยอะมากกกก ทั้งจาก CEO เอง พี่ ๆ เอง เพื่อน ๆ เอง มันทำให้เราเป็นคนกล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจมากขึ้นเลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย เพราะตอนเราฝึกงาน ช่วงเดือนที่สอง เราเป็นคอนเทนต์คนเดียวค่ะ แล้วหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบก็คือ เขียนบทความลงสื่อประชาสัมพันธ์ขององค์กร ทั้งภายในและภายนอกเรียนรู้การวิเคราะห์และจับประเด็นที่เป็นกระแส เพื่อนำมาพัฒนาให้ Content โดนใจผู้อ่านมากที่สุดค้นคว้า และศึกษาคู่แข่งเขียนบทความดึงดูดลูกค้าเพื่อไปสู่การปิดการขายงานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายแล้วมันจะมาเหนื่อยตรงที่เราต้องหาข้อมูลและเขียน บางครั้งก็ทำภาพเองบ้าง ทั้ง 3 BUs: Knoware, โรงเรียนคู่ขนาน และ Fishsix ถามว่าหนักไหม ? หนักเอาเรื่องอยู่ค่ะ (งานว่าเยอะแล้ว ประชุมเยอะกว่าค่ะ🤣🤣) เพราะจะมีการประชุมกันกับทางทีมบ้าง กับ CEO บ้าง เพื่อพูดคุยถึงปัญหา ถึงแนวทางต่าง ๆ ที่เราต้องแก้ไข ประชุมบ่อยมากกกค่ะ แต่ก็เข้าทุกประชุมนะคะ ข้อดีที่เข้า เราได้รู้เรื่องราวใหม่ ๆ ได้ฟังแนวคิดจาก CEO ข้อมูลดี ๆ เยอะอยู่นะคะ (แถมตอนท้ายประชุมจะมีการ Recaps จากการฟังตลอดการประชุมด้วยนะคะ (เราแทบกรี๊ดค่ะ เพราะไม่ค่อยชอบพูดเท่าไร5555) แต่ก็พูดได้อยู่ค่ะ) 4 เดือนกับการฝึกที่นี่เราได้มาเยอะเลยนะคะประสบการณ์การทำงานดี ๆ ทั้งพี่ ๆ เพื่อน ๆ เป็นมิตรกันทุกคน แถมได้ทำอะไรใหม่ ๆ เยอะเกินคาด ทั้งวางแผนตารางคอนเทนต์ ดูแลนั่นนี่ของบริษัท, เป็น Production ให้คนนู้นบ้าง ให้คนนี้บ้าง, ทำคลิปวิดีโอ, ทำภาพกราฟิก, เลขาพี่เลี้ยง (งานเสริมนิด ๆ 5555) และอื่น ๆ อีกเยอะค่ะ ประสบการณ์ใหม่ทั้งนั้น (แต่บางคนก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรแบบนี้นะคะ เพราะอาจจะมีทีมที่ครบ ณ ตอนนั้นด้วยค่ะ) สำหรับเรา ถึงจะได้ทำเยอะเกินตัว แต่ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก พัฒนาทักษะใหม่ ๆ ของเราได้เยอะเลย สุดท้ายนี้ เราอยากจะบอกว่า ใครที่ต้องการประสบการณ์การทำงานเยอะ ๆ ที่นี่ตอบโจทย์ค่ะ แต่ถ้าใครที่ไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากเครียด ไม่อยากบ่นมาก ที่นี่ก็อาจจะยังไม่ใช่เท่าไรนะคะเอาเป็นว่า เอาข้อมูลตรงนี้ไปตัดสินใจกันให้ดี ๆ น้าาา และขอบคุณทุกคนที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ค่าาา 🙏🏻 เครดิตภาพภาพปก โดย Startup Stock Photos จาก Pexels ภาพ 1 โดย Judit Peter จาก Pexels ภาพ 2 - 4 ภาพการประชุมจากการทำงาน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
Ariss • 9 ต.ค. 65
อ่าน
รีวิว หนังสือ Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูด การตลาด ดึงดูดลูกค้า
สวัสดีเพื่อนๆ เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้อ่านหนังสือชื่อ Inbound Marketing: การตลาดแบบแรงดึงดูด ที่เขียนโดย Content Shifu เป็นหนังสือที่น่าสนใจมากเลยนะ และคิดว่ามีประโยชน์สำหรับใครที่สนใจการตลาดหรือกำลังทำธุรกิจอยู่ หนังสือเล่มนี้พูดถึงแนวคิดของ Inbound Marketing ซึ่งแตกต่างจากการตลาดแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยทั่วไปแล้ว การตลาดแบบดั้งเดิมมักจะใช้วิธีการโฆษณาที่ตรงไปตรงมา เช่น โฆษณาทางทีวีหรือป้ายโฆษณา แต่ Inbound Marketing จะเน้นการสร้าง "แรงดึงดูด" ให้ลูกค้าเข้าหาเราแทน โดยการส่งมอบข้อมูลและคุณค่าที่มีประโยชน์ ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกสนใจและอยากติดตามแบรนด์ของเรา ในหนังสือมีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นสามส่วนหลัก ได้แก่ การดึงดูด (Attract) ในส่วนนี้จะพูดถึงวิธีการที่จะทำให้ลูกค้าต้องการเข้ามาหาเรา เช่น การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า การใช้ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับในผลการค้นหา และการใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมทเนื้อหา การมีส่วนร่วม (Engage) เมื่อลูกค้าเข้ามาหาเราแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา เช่น การใช้ Email Marketing เพื่อส่งข้อมูลที่ตรงใจ หรือการตอบคำถามและข้อสงสัยของลูกค้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การสร้างความพึงพอใจ (Delight) นี่คือขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญมาก เราต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจกับบริการหรือสินค้าที่เราเสนอ เพื่อให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำหรือแนะนำเราให้กับคนอื่น ๆ ซึ่งอาจรวมถึงการให้บริการหลังการขายที่ดี หรือการสร้างโปรแกรมสมาชิกเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้โดดเด่นคือเคล็ดลับและเครื่องมือที่มีประโยชน์ เช่น Call to Action (CTA) หนังสือแนะนำวิธีสร้าง CTA ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าทำตามขั้นตอนต่อไป เช่น การสมัครรับข่าวสารหรือดาวน์โหลดเอกสารฟรี Landing Page การออกแบบ Landing Page ที่น่าสนใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพื่อเพิ่มอัตราการแปลง (Conversion Rate) หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าได้แนวทางใหม่ในการทำการตลาดมากมายเลย ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าการตลาดคือแค่การโปรโมทสินค้า แต่ตอนนี้เข้าใจว่ามันคือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างแท้จริง และสำคัญมากที่จะต้องฟังเสียงของลูกค้าและปรับกลยุทธ์ตามความต้องการของพวกเขา ข้อดีของหนังสือ เขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย แม้สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานด้านการตลาด มีตัวอย่างและกรณีศึกษาจริงที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ เน้นการสร้างคุณค่าแทนการโฆษณาแบบเดิม ทำให้รู้สึกว่าการตลาดไม่ใช่แค่เรื่องขายของ แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ โดยรวมแล้ว หนังสือ Inbound Marketing: การตลาดแบบแรงดึงดูด เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการและนักการตลาด ที่ต้องการเรียนรู้วิธีสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ที่เน้นคุณค่าและผลลัพธ์จริง ถ้าใครสนใจเรื่องนี้ ผู้เขียนแนะนำให้ลองอ่านดูนะ มันจะช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ ในเรื่องการตลาดให้กับเราได้จริง ๆ! ภาพปก โดย Tumisu จาก Pixabay ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
TimeTraveler • 24 ธ.ค. 67
อ่าน
Makoto Marketing การตลาดแบบจริงใจสไตล์ญี่ปุ่น หนังสือดีที่น่าอ่าน
สวัสดีค่ะ ช่วงที่ผ่านมาดิฉันได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการทำการตลาดแบบชาวญี่ปุ่น ซึ่งจริงๆดิฉันสนใจในหนังสือที่เกี่ยวกับเคสการทำการตลาดอยู่แล้ว พอได้เห็นหนังสือเล่มนี้ในร้านหนังสือก็รู้สึกสนใจและซื้อกลับบ้านมาอ่าน พอได้อ่านแล้วก็รู้ว่าเป็นหนังสือในแบบที่ดิฉันชอบจริงๆ และการแนะนำการทำการตลาดในหนังสือเล่มนี้เป็นการตลาดแบบยั่งยืนค่ะหนังสือเล่มนี้ชื่อ "Makoto Marketing หลักสูตรการตลาดแบบจริงใจสไตล์ญี่ปุ่น" เป็นหนังสือเล่มสีขาวที่รอยเส้นบนปกเกิดจากการนำกระดาษที่พับแบบโอริกามิเป็นรูปหัวใจมาคลี่ออก เรียบง่ายแต่เก๋ไก๋ตามสไตล์ญี่ปุ่นค่ะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์ The Cloud ซึ่งเขียนโดย ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ หรือ เจ้าของเพจ "เกตุวดี Marumura" ในเฟสบุ๊ก เป็นอดีตนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น จบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ และปริญญาโท-เอกด้านการตลาดจากมหาวิทยาลัยโกเบ ประเทศญี่ปุ่น เธอนิยามงานในปัจจุบันของตนเองว่า เป็นนักสื่อสารเรื่องราวดีๆจากญี่ปุ่นในหลายรูปแบบ โดยการเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งยังเป็นคอลัมนิสต์ประจำเว็บ The Cloud มีเพจเฟสบุก จัดรายการวิทยุจุฬา และมีช่อง Podcast เป็นของตัวเองด้วยค่ะหนังสือ Makoto Marketing เล่มนี้มีทั้งหมด 20 บท โดยในแต่ละบทจะเริ่มด้วยคำถาม หรือการขอคำปรึกษาในการทำการตลาดที่ดร.กฤตินีได้รับจากแต่ละบุคคลที่ได้พบเจอ แล้วเธอก็จะเล่าถึงเคสการทำการตลาดในแต่ละกิจการของชาวญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง โดยในท้ายบทก็จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลที่มาขอคำปรึกษา และมีแบบฝึกหัดพร้อมเฉยให้กับทางเราซึ่งเป็นผู้อ่านได้ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าเป็นเรา เราจะแก้ปัญหาในโจทย์ต่างๆนั้นอย่างไร ในบทสุดท้ายเธอก็จะสรุปข้อคิดในการทำการตลาดและการบริหารธุรกิจให้เราอีกครั้ง พร้อมข้อสอบให้เราได้ลองทำเล่นๆ แต่ดิฉันว่าสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจและการทำงานของเราได้จริงค่ะดิฉันขอยกข้อความในหนังสือตอนหนึ่งซึ่งสามารถอธิบายเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ ซึ่งก็คือ "ธุรกิจที่อยู่ได้อย่างยั่งยืนจึงไม่ใช่ธุรกิจที่สร้างกำไรเฉพาะกลุ่มหรือพวกของตน แต่เป็นธุรกิจที่สร้างประโยชน์ให้กับคนรอบๆ ได้แก่ คู่ค้า ลูกค้า พนักงาน และสังคม ได้อย่างต่อเนื่อง หากดีแค่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น ทำดีกับลูกค้า แต่กดราคาซัพพลายเออร์ หรือผลิตของที่ทำลายสิ่งแวดล้อม วันหนึ่งบริษัทนั้นคงถูกฟ้องร้อง หรือไม่ได้รับความช่วยเหลือจากซัพพลายเออร์อีก ธุรกิจก็จะอยู่ไม่ได้ในที่สุด"โดยส่วนตัวแล้วดิฉันก็ทำงานในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการขายการตลาดเช่นกัน พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็รู้สึกว่า เราสามารถนำเนื้อหาในหนังสือมาประยุกต์ใช้โดยการไม่ใช่แค่คำนึงถึงการขายอย่างเดียว แต่ควรจะเอาใจใส่ในลูกค้าในด้านอื่นๆด้วย เช่น การถามไถ่ความเป็นไปในด้านต่างๆของลูกค้า ซึ่งเป็นการแสดงความเอาใจใส่และถ้าสามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือใดๆที่ไม่เกินความสามารถของเราได้ ก็ควรจะกระทำ เพื่อให้ทั้งเราและลูกค้ามีความสุขร่วมกันค่ะ ถ้าท่านผู้อ่านได้ผ่านร้านหนังสือ หรือแวะเข้าไปในเว็บ หรือแอปขายหนังสือต่างๆ อยากหาหนังสือที่น่าอ่าน และให้ข้อคิดในการทำธุรกิจและการตลาดแบบยั่งยืน ดิฉันขอแนะนำหนังสือเล่มนี้อย่างจริงใจเลยค่ะ เครดิตภาพ โดย ผู้เขียนบทความเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
LadyLada195 • 3 ธ.ค. 65
อ่าน
[พักก่อน Ep.174] มาดูกันว่า ธุรกิจคุณต้องการ "Influencer Marketing" หรือเปล่า?
เมื่อพูดถึงช่องทางการโปรโมทสินค้าในยุคนี้ ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงการโปรโมทช่องทางออนไลน์มาเป็นอันดับแรก เพราะนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าแบบออฟไลน์ด้วยแล้ว ยังสามารถเลือกกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายมากกว่าเดิมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอายุ, เพศ หรือแม้กะทั่งรายได้ ที่จะมีส่วนช่วยให้กลุ่มคนเหล่านั้นกลายมาเป็นลูกค้าของเราในอนาคตได้นั้นเองค่ะ ด้วยช่วงนี้ผู้คนต่างก็ต้องกักตัวกันอยู่แต่ในบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัส Covid-19 นั้นจึงทำให้ส่งผลไปยังช่องทางการประชาสัมพันธ์ในการทำการตลาดของหลาย ๆ บริษัท หลาย ๆ สินค้า วันนี้ลองมาทำความรู้จักกับอีกช่องทางในการสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภค อย่าง Influencer Marketing กันค่ะ หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้กันอยู่บ่อย ๆ แต่ถ้าใครยังไม่เข้าใจก็ขออธิบายอย่างสั้น ๆ ก็คือ ผู้มีอิทธิพลบนสื่อในทุกรูปแบบนั้นเองค่ะInfluencer Marketing คือการใช้ผู้มีอิทธิพล หรือผู้ที่ได้รับความสนใจจากสังคม และได้รับการติดตามจากผู้บริโภคในจำนวนมาก อาทิเช่น วงการยูทูปเบอร์ที่โด่งดัง อย่าง ช่อง BEARHUG ที่นำโดยพี่ซานต์ และพี่กานต์ หรือจะเป็นช่องบี้เดอะ สการ์ ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าบรรดาช่องยูธูปของพวกเขาจะมียอดของการติดตามสูงถึงหลักล้านคนเลยทีเดียวค่ะ และแน่นอนว่าในแต่ละช่องก็จะมีสไตล์เป็นของตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ติดตามในแต่ละช่องก็จะมีสไตล์ และความชื่นชอบตามช่องยูทูปนั้น ๆ ด้วยเช่นเดียวกันนั้นเองค่ะและไม่ใช่ช่องทางยูทูปเท่านั้นนะคะ ยังมีอีกหลายช่องทางที่สามารถใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing ได้ ไม่ว่าจะเป็น Facebook ,Instargram หรือแม้แต่ทวิตเตอร์ ก็สามารถมองหาเหล่า Influencer ที่ตอบโจทย์กับสินค้าของเราได้เช่นกัน เรียกว่าครอบคลุมทุกสื่อโซเชียลที่โด่งดังในยุคนี้เลยทีเดียวค่ะแต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังสงสัยว่า Influencer Marketing แตกต่างกับ Presenter ตรงไหน? วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกันค่ะ คำว่า Presenter แน่นอนอยู่แล้วว่าภาพที่เรานึกถึง จะเป็นเหล่าคนดัง และผู้ที่มีชื่อเสียงที่เข้ากับสินค้านั้น ๆ มายืนคู่กันเพื่อโปรโมท หรือประชาสัมพันธ์ตามป้ายโปสเตอร์ และบิลบอร์ดต่าง ๆ ซึ่ง Influencer Marketing จะแตกต่างกันตรงที่พวกเขาเป็นเพียงบุคคลธรรมดา ที่มีผู้ติดตามที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ที่คล้าย ๆ กัน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคด้วยเช่นเดียวกัน และเหล่า Influencer นี้ จะเป็นผู้ที่ทดลองใช้จริง รีวิวจริง ซึ่งพวกเขาสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวค่ะ เพราะผู้บริโภคเชื่อว่า Influencer รีวิวด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะไม่ได้รับค่าโฆษณามาแต่อย่างใดนั้นเองค่ะเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม หรือธุรกิจเสื้อผ้า และเครื่องประดับ ต่างก็หันมาใช้งาน Influencer Marketing กันซะส่วนใหญ่ เพราะทั้งประหยัด และยังสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวค่ะ เพราะในยุคนี้จากที่เรา และคนรอบตัวก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ติดตามเหล่าบรรดา Influencer ต่าง ๆ และมักจะค้นหารีวิวการใช้จริงจากกลุ่มคนเหล่านี้ก่อนตัดสินใจซื้ออยู่เสมอ ยิ่งทำให้เราเข้าใจว่ากลยุทธ์นี้เป็นอีกช่องทางที่จะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคในยุคนี้ได้ดีจริง ๆ ค่ะ และยิ่งถ้าหากใครที่กำลังทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าฟุมเฟือย อย่าง เสื้อผ้า หรือเครื่องประดับ รวมทั้งเครื่องสำอางต่าง ๆ การเลือกใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing นั้นจัดได้ว่าเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพอีกช่องทางหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการเลยล่ะค่ะรูปภาพหน้าปก : แหล่งที่มา ,รูปที่ 1 : แหล่งที่มา ,รูปที่ 2 : แหล่งที่มา ,รูปที่ 3 : แหล่งที่มา ,รูปที่ 4 : แหล่งที่มา
ชานมไข่มุก • 28 เม.ย. 63
อ่าน
6 เทคนิค ปรับแต่งธุรกิตให้เหมาะกับยุคสมัย (Tune in Marketing) ตอนจบ
จากบทความก่อนที่ว่าด้วย 3 เทคนิคแรกไปแล้ว ขอทวนกันอีกสักนิด คือ เทคนิคที่ 1 ต้องหาปัญหาที่ยังไม่มีการแก้ไข , เทคนิคที่ 2 ต้องเข้าใจคนซื้อ, เทคนิคที่ 3 คำนวนผลกระทบในสิ่งที่เราทำลงไป วันนี้เราจะมาต่อกันด้วยเทคนิคที่เหลือ รับรองว่าเข้มข้นไมเทคนิคที่ 4 ให้สร้างประสบการณ์ที่ฉีก แหวกแนวให้กับลูกค้าโดยเป็นการสร้างประสบการณ์ที่พิเศษที่ลูกค้าไม่เคยได้รับรู้มาก่อน สร้างประสบการณ์บนพื้นฐานของจุดแข็งของเรา ลูกค้าไม่ได้ซื้อจากตัวสินค้า แต่ซื้อประสบการณ์ที่เขาจะได้รับ ซึ่งประสบการณ์ที่พิเศษจะมีอยู่ 5 ลักษณะ1. Discovery Experience : ประสบการณ์ของการค้นพบ เป็นช่วงที่ลูกค้าต้องการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริษัทสามารถสร้างสิ่งที่ให้ข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าที่ลูกค้าต้องการบริโภคจริง เช่น โบรชัว เว็บไซต์ การให้ข้อมูลของพนักงานขาย2. Buying Experience : ประสบการณ์ทางการซื้อ ลูกค้าซื้อสินค้าของเราอย่างไร สะดวกมากน้อยแค่ไหน3. Packaging Experience : ประสบการณ์จากบรรจุภัณฑ์ ลูกค้ารู้สึกอย่างไรในตัวบรรจุภัณฑ์ ตัวอย่างจะเห็นได้จากสินค้าของญี่ปุ่น4. Using Experience : ประสบการณ์ในการใช้ (Break through Experience)5. Service Experience : ประสบการณ์จากการให้บริการ เทคนิคที่ 5 การสื่อสารความคิดที่มีพลังเราจะต้องพัฒนาคำหรือวลี เพื่อสื่อความคิดไปยังผู้ซื้อ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เราต้องการอะไรจากคนซื้อ คือ เราต้องการให้ผู้ซื้อรู้อะไร เกี่ยวกับ องค์กรหรือตัวสินค้า ซึ่ง Idea ที่ทรงพลังที่สุด คือ การจับคู่สิ่งที่องค์กรถนัดและสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้เแก้ปัญหาโดยหัวใจ คือ การหาว่าอะไรเป็นความคิดที่สามารถจะขายได้ดีที่สุด ซึ่งจะมาจาก การที่เราต้องไปดูให้ได้ว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เขาต้องการอะไร หรือ อาจจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ แต่เขาไม่รู้ การที่ผู้ผลิต ผลิตสินค้าขึ้นมาสักชิ้นซึ่งโดยปกติต้องเกิดความต้องการจากลูกค้าก่อนจึงผลิตออกมาตอบสนอง แต่บางครั้งผู้ผลิตก็ต้องผลิตออกมาก่อน ก่อนที่จะเกิดความต้องการเนื่องจากลูกค้าไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผู้ผลิตจึงต้องติดตาม Life Style ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทราบถึงปัญหาดังกล่าว ซึ่งถ้าเราจะปรับการตลาดให้เข้ากับสถานการณ์ จะต้องลงไปคลุกกับลูกค้าจำนวนมาก เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร เทคนิคที่ 6 สร้างการเชื่อมต่อที่แน่นแฟ้นให้เกิดขึ้นกับลูกค้าเพื่อจะเป็นการสื่อถึงลูกค้าว่าเราแก้ไขปัญหาให้เขาเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าผู้ซื้อกลุ่มนี้ เสพสื่ออะไร ต้องรู้จัก Profile ลูกค้า จากนั้นพัฒนาข้อมูลที่ลูกค้าต้องการบริโภคเป็นประเภทไหน สร้างสัมพันธภาพที่แท้จริงให้เกิดกับลูกค้า ต้องตั้งคำถามว่า เราจะสื่อให้ลูกค้าให้รู้ได้อย่างไร ว่าเราแก้ปัญหาให้เขาได้ เมื่อเขาซื้อของจากเราซึ่งสร้างการเชื่อมต่อกับลูกค้าให้ได้ ในปัจจุบัน Internet จะเข้ามามีอิทธิพลมาก เราจึงต้องรู้จักสร้าง Content บางอย่างขึ้น เพื่อใช้ในการสื่อสารไปยัง ผู้ซื้อโดยตรง ฉะนั้นการ Tune in ควรสื่อให้เห็นถึง Concept ของสินค้านั้นมากกว่ารูปร่างหน้าตานั่นเอง ครับสำหรับ 6 เทคนิค ปรับแต่งธุรกิตให้เหมาะกับยุคสมัย (Tune in Marketing) น่าจะเป็นตัวช่วยให้เราได้ใช้เป็นเช็คลิส (Check List) ตรวจสอบพฤติกรรมลูกค้าเราอีกครั้งหลังจากที่สถานการณ์เปลี่ยนไป เพราะอย่างน้อยแม้ไม่ได้กลับไปเป็นคนเดิมเหมือนก่อน แต่เราก็ยังเป็นคนที่ลูกค้ายังวางใจเราได้เสมอ แค่นี้ก็ได้ใจไปเต็มๆ แล้วยังมีข้อคิดการดำเนินธุรกิจที่น่าสนใจ ลองตามไปอ่านได้ที่ นิยมเล่าเป็นเรื่องเจ้าของ Blog Business Connection Knowledgeเครดิตรูปทั้งหมดรูปที 1 (Photo by NordWood Themes on Unsplash)รูปที่ 2 (Photo by Andrea Piacquadio from Pexels)รูปที่ 3 (Photo by Jason Rosewell on Unsplash)รูปที่ 4 (Photo by camilo jimenez on Unsplash)
NiYom • 10 มิ.ย. 63
อ่าน
การตลาดเพื่อสังคม (Social Marketing) เทรนด์การตลาดยุคนี้ ตอนจบ
(Photo by Larm Rmah on Unsplash)หลังจากที่บทความก่อหน้า เราได้พูดถึงลักษณะการตลาดเพื่อสังคม (Social Marketing) ที่มาของการตลาดและสิ่งที่การตลาดเพื่อสังคมจะเข้าไปช่วยได้แล้ว ครั้งนี้เราจะมาดูตัวอย่างการใช้ตลาดเพื่อสังคม ผ่านองค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อสังคม หรือที่เรียกว่า Social Enterprise ในไทยบ้างครับ(Photo by Austin Distel on Unsplash)อันที่จริงองค์กรธุรกิจ (Social Enterprise) นั้นได้ก่อตัวขึ้นแล้วในเมืองไทยมาสักพัก หนึ่งในนั้นก็คือ บริษัท Opendream ที่เป็นการรวมตัวกันของนักธุรกิจรุ่นใหม่หลายคนก่อตั้ง ธุรกิจไอทีเพื่อสังคมขึ้นมา ซึ่งกลุ่มคนใน Opendream เป็นกลุ่มคนที่ถนัดงานโปรแกรมเมอร์ทำเว็บแอพพลิเคชั่นและมีความสนใจในปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมมารวมตัวกัน โดยมุ่งแก้ปัญหาให้กับเว็บไซต์และระบบของหน่วยงานและองค์กรเพื่อสังคม ซึ่งส่วนใหญ่มักค่อนข้างล้าหลังด้านเทคโนโลยี ไม่น่าสนใจ ใช้งานยาก บริษัท Opendream จึงถูกตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้โดยไม่มุ่งแสวงหาผลกำไรกับลูกค้ากลุ่มนี้ แต่งานอีกส่วนหนึ่งประมาณ 20% จะเป็นงานที่ทำให้กับภาคธุรกิจเอกชนทั่วไปเพื่อสร้างผลกำไรมาเลี้ยงบริษัทตามสมควร(Photo by Andrea Piacquadio from Pexels)จากการที่ได้พูดคุยกับเจ้าของกิจการธุรกิจเพื่อสังคมเหล่านี้ทำให้ทราบว่า นักธุรกิจเพื่อสังคมเองก็ประสบปัญหาอยู่ ไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจดีแต่ขาดประสบการณ์ด้านธุรกิจ การตลาด ธุรกิจบางอย่างจึงยากที่จะประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ธุรกิจเพื่อสังคมเหล่านี้ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริโภคเท่าที่ควร ดังนั้น หากมีภาครัฐหรือองค์กรใดที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลและประชาสัมพันธ์ธุรกิจเหล่านี้ให้เป็นที่รู้จักก็จะสามารถทำให้ธุรกิจเหล่านี้มีโอกาสเติบโตได้อีกไม่น้อย นอกจากนี้ธุรกิจเหล่านี้ยังพบปัญหาและอุปสรรคจากกฎระเบียบของภาครัฐเอง แทนที่จะได้รับการสนับสนุนอีกด้วย (Photo by Micheile Henderson on Unsplash)ในเรื่องของแหล่งเงินทุนก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลกที่ให้ความช่วยเหลือให้กับองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมเหล่านี้อยู่ แต่ในบ้านเรากลับมีน้อยมาก ดังนั้นหากภาคการเงินการธนาคาร รวมถึงธุรกิจใหญ่ ๆ ที่อยากทำโครงการที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ได้เข้ามาร่วมมือให้การสนับสนุนธุรกิจเหล่านี้ในด้านต่าง ๆ เช่น การอบรม ให้ความรู้ในการประกอบธุรกิจ ในด้านกลยุทธ์การตลาด และการหาตลาด การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือช่วยเป็นที่ปรึกษา เป็นพี่เลี้ยงให้ก็จะช่วยให้องค์กรเหล่านี้เติบโตได้อย่างแข็งแรงและยืนหยัดอยู่ได้ครับ ถึงจุดนี้เราคงต้องมาคิดกันแล้วว่า จุดมุ่งหมายในชีวิต หรือสำหรับองค์กรธุรกิจของท่านนั้นคืออะไร หากเงินไม่ใช่ คำตอบสุดท้าย องค์กรธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise อาจเป็นทางเลือกสำหรับท่านก็ได้ครับ !(Photo by Dario Valenzuela on Unsplash)ต้องยอมรับกันละครับว่า การตลาดเพื่อสังคม (Social Marketing) ที่ก่อตัวขึ้นจากผู้ประกอบการรายเล็กๆ หรือชุมชนต่างๆ ที่เล็งเห็นปัญหาความเป็นอยู่ของชุมชนตนเอง และรวมตัวกันเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จะผลักดันให้ผู้ประกอบการรายใหญ่หันมาใส่ใจต่อสังคมกันมากขึ้นในอนาคต เพราะถึงแม้บริษัทใหญ่ๆ จะไม่สามารถเป็น Social Enterprise ได้เต็มตัว (เช่น บริษัทในตลาดหลักทรัพย์) แต่ก็คงจะต้องมีกลยุทธ์ หรือแผนการตลาดในเรื่องนี้มากขึ้น (หรือการทำ CSR มากขึ้น) และที่สำคัญประเด็นของการทำตลาดเพื่อสังคมนั้น คงจะตั้งอยู่ในหลักของ SCG ช่วยเหลือสังคม (Social) + ด้วยความคิดที่สร้างสรรค์ (Creative) + เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green)" ซึ่งน่าจะเป็นหลักสำคัญ ที่จะต้องคิดทบทวนเมื่อผู้ประกอบการจะหันมาทำการตลาดเพื่อสังคมกันอย่างจริงจัง ติดตามความรู้เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่น่าสนใจได้ที่ นิยมเล่าเป็นเรื่องเจ้าของเว็บไซต์ : Business Connection Knowledge
NiYom • 4 พ.ค. 63
อ่าน
รีวิวหนังสือ CONTEXTUAL MARKETING การตลาดแบบฉวยโอกาสรอบตัวมาเป็นยอดขาย
ปกติการตลาดทั่วไปเราจะเน้นไปที่ Content บอกเล่าว่าสินค้านี้ดีอย่างไร ใช้ประโยชน์ให้ได้อะไรบ้าง แต่ถ้าเป็น Contextual Marketing จะเป็นการเน้นไปที่บริบทของสถานการณ์ที่สอดคล้องกับสินค้าที่เราจะขาย เช่น น้ำอัดลมขายตามห้างกับน้ำอัดลมที่ขายกลางทะเลทราย แน่นอนว่าความร้อนระอุจะทำให้ที่ทะเลทรายขายน้ำอัดลมได้ง่ายโดยไม่ต้องโฆษณาบอกกล่าวอะไรให้มาก แถมยังขายดีในราคาสูงอีกต่างหาก นี่คือ Contextual Marketing ณัฐพล ม่วงทำ เจ้าของเพจการตลาดวันละตอนจะมาอธิบายถึงแนวทางการตลาดดังกล่าวให้คนทำงานที่เกี่ยวข้องเข้าใจได้มากขึ้น ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ ได้เรียนรู้ว่า 5 องค์ประกอบหลักของ Contextual Marketing ที่เน้นความสะดวกของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง สำหรับคนที่อยากจะทำให้ประสบความสำเร็จ 1. ใส่ใจในลูกค้า การตลาดแบบ Contextual Marketing ต้องปรับตัวให้เข้ากับความสะดวกของลูกค้า ถ้าลูกค้าติดต่อเราผ่าน LINE มา เราก็ต้องพร้อมตอบคำถามลูกค้าในรูปแบบที่คนส่วนใหญ่เขาใช้ LINE กัน นั่นก็คือเน้นการตอบเป็นข้อความสั้นๆง่ายๆ กระชับ เข้าประเด็น แต่ถ้าลูกค้าติดต่อเรามาผ่านทาง YouTube สมมติว่าเขาค้นหาเกี่ยวกับเรา เราก็ต้องเตรียมเนื้อหาในรูปแบบวิดีโอไว้ให้พร้อมเพื่อตอบคำถามนั้น ดังนั้น หัวใจสำคัญคือการปรับตัวแล้วก็เตรียมเนื้อหาให้เข้ากับช่องทางหรือเครื่องมือสื่อสารที่ลูกค้าใช้ในแต่ละช่วงเวลาด้วย 2. ใส่ใจในความต้องการ Contextual Marketing นั้นแตกต่าง จากการตลาดแบบโลกยุคเก่าที่เป็น Traditional Marketing อย่างสิ้นเชิง การตลาดยุคเก่าคือการเน้นความสะดวกของแบรนด์เป็นหลัก เน้นการตลาดแบบหว่านหรือ Mass Marketing ออกไป แต่การตลาดแบบ Contextual Marketing นั้นเลือกที่จะเป็นทางออกให้ลูกค้า เมื่อไหร่ที่เขามีปัญหาแล้วต้องการตัวช่วยหรือค่าตอบขึ้นมา เมื่อนั้นคุณต้องพร้อมเป็นทางออกให้เขาในทันที 3. ใส่ใจในเครื่องมือที่ใช้ การตลาดแบบ Contextual Marketing, จะได้เปรียบการตลาดแบบโลกยุคเก่าที่เน้นการหว่านแหออกไปแล้วหวังว่าจะได้ใครสักคนเข้ามาเป็นลูกค้า เพราะการตลาดแบบ Contextual Marketing จะเน้นคนที่กำลังสื่อสารอยู่ตรงหน้าแบบรายคนและ Real-time ว่าตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้ากำลังต้องการอะไร มีปัญหาแบบไหน อยู่ในบริบทอย่างไร อยู่ที่ใด แม้กระทั่งใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นไหนหรือคอมพิวเตอร์ยี่ห้อใดกันแน่ 4. ใส่ใจในสิ่งที่ลูกค้าสนใจ ในวันที่เรามีข้อมูลล้นเหลือ ปัญหาไม่ใช่การมีข้อมูลน้อยเกินไป แต่เป็นการมีข้อมูลมากเกินไปถาโถมเข้ามาให้เราตัดสินใจได้ยากขึ้นต่างหาก ดังนั้นการตลาดแบบ Contextual Marketing จึงก้าวเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ ท่ามกลางโฆษณามากมาย โฆษณาที่ใส่ใจในลูกค้าด้วยการปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับความสนใจของลูกค้าในเวลานั้นมากที่สุด ปรับแต่งเนื้อหาให้เข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้งานมากที่สุดย่อมทำให้โฆษณาของคุณนั้นโดดเด่นท่ามกลางคู่แข่งที่คอยแย่งชิงความสนใจจากลูกค้ามากมาย เพราะยิ่งเราให้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงและตรงความสนใจได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ลูกค้าสนใจเรามากขึ้นไปเท่านั้น 5. ใส่ใจในจุดที่ลูกค้าอยู่ตลอดเวลา การตลาดแบบ Contextual Marketing จะไม่ประสบผลสำเร็จเลยถ้าเราไม่ใช้โอกาสจาก Contextual Data ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาให้เป็นหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนยุคก่อน ด้วยเทคโนโลยีอย่าง GPS ประโยชน์ โดยเฉพาะข้อมูลของสถานที่ที่ลูกค้ายุคนี้ไม่เคยในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือที่ทำให้เราสามารถปรับเนื้อหาการตลาดให้ตรงกับสถานที่ที่ลูกค้าอยู่ ณ ตอนนั้นได้มากที่สุด ได้เรียนรู้ว่า SEM หรือ Search Engine Marketing หนึ่งในเครื่องมือการตลาดที่นิยมทำกันก็คือ การซื้อคำค้นหาที่ตัวเองต้องการให้โฆษณาของสินค้าหรือบริการของตัวเองไปปรากฏตรงหน้า หรือที่เรียกกันว่า Google AdWords นั่นเอง Google AdWords คือการเลือกทำการตลาดผ่านคำต่าง ๆ ที่เราต้องการ หลักการทำงานของมันก็คือว่า คุณต้องการให้โฆษณาของคุณโผล่ขึ้นมาเมื่อมีคนเสิร์ชกูเกิลด้วยคำใด คุณอาจจะเลือกซื้อโฆษณาเมื่อมีคนเสิร์ชพิมพ์คำที่เป็นแบรนด์ของคุณแบบตรง ๆ ก็ได้ ถ้าคุณกลัวว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจไปหาคู่แข่ง หรืออาจจะมีเว็บจากแบรนด์อื่นสามารถให้กูเกิลเชื่อว่านี่คือคำตอบที่คนส่วนใหญ่ต้องการ ซึ่งหลัก ๆ ก็คือผ่านจำนวนการคลิกเข้าไปอ่าน เพราะกูเกิลจะวัดผลว่าลิงก์ไหนจากเว็บใดคือคำตอบที่ใช่มากที่สุด ได้เรียนรู้ว่าการตลาดแบบ Contextual Marketing ต้องอาศัยความใส่ใจเป็นอย่างมาก เริ่มจากการใส่ใจว่าคนแบบไหนที่น่าจะมีโอกาสใช้เงินกับเรามากที่สุด นั่นก็คือกลุ่มแม่บ้านที่แวะมาซื้อของเข้าบ้านเป็นประจำทุกสัปดาห์ จากนั้นก็เลือกรอจังหวะเวลาที่คนนั้นอยู่บริเวณใกล้ห้าง คือ พร้อมซื้อเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ฉกฉวยโอกาสเข้าไปแนะนำตัวให้เปลี่ยนจากแบรนด์คู่แข่งมาทดลองใช้ของเราแทน ทั้งหมดนี้คือการเลือกจังหวะแล้วก็รอโอกาสที่ดีที่สุดที่จะเปลี่ยนให้เป็นยอดขายเกิดขึ้น เพราะคุณลองคิดดูว่า ถ้าคุณทำการตลาดไปตอนที่เขาซื้อของเสร็จแล้วหรือตอนที่เขาถึงบ้านแล้ว จะมีสักกี่คนที่ยังมีกะใจอยากซื้อเพิ่ม หรือแม้แต่ยอมลงทุนขับรถกลับไปห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง นอกเสียจากว่าโปรโมชั่นของเรามันเร้าใจมากเหมือนแจกฟรี ได้เรียนรู้ว่า User Context บริบทของผู้ใช้ หลักใหญ่ใจความคือการพยายามคาดการณ์ว่าลูกค้าต้องการอะไรหรือจะทำอะไรต่อไป จากการเฝ้าสังเกตผ่านข้อมูลต่าง ๆ และข้อมูลที่นักการตลาดใช้กันมานานก็คือข้อมูลประเภท Demographic เพศอะไร อายุเท่าไหร่ ทำงานอะไร บ้านอยู่ที่ไหน ใช้เครื่องไม้เครื่องมือแบบไหน เป็นต้น ข้อมูลประเภทนี้ถูกมองว่าล้าหลังและไม่ตอบโจทย์การทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมานานมาก ได้เรียนรู้ว่า Request Context บริบทในความต้องการ หมายถึง เมื่อกดค้นหา “ร้านกาแฟ” การตลาดทั่วไปอาจจะนำเสนอแค่ข้อมูลของร้านกาแฟที่ติดอันดับยอดนิยมในช่วงเวลานั้น แต่ถ้าเป็นการตลาดแบบ Contextual Marketing จะเฉพาะเจาะจงลงไปในบริบทของความต้องการ ดูจากช่วงเวลาว่าถ้าเป็นตอนเช้าควรจะแนะนำร้านไหนที่เปิดแล้ว แต่ถ้าเป็นตอนสายก็อาจจะมีรายชื่อร้านมาให้เลือกเพิ่มขึ้น แล้วก็คัดกรองข้อมูลให้นำเสนอเฉพาะที่อยู่ในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุดเป็นหลัก ไม่ใช่ตัวอยู่ลาดพร้าวแต่ดันเอาร้านกาแฟย่านปทุมธานีขึ้นมาเป็นอันดับแรก แบบนี้ผิดบริบทเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ย่อมยากที่จะทำให้เกิดยอดขายขึ้นมาได้ แล้วยิ่งถ้าดูในบริบทที่ซับซ้อนมากกว่านี้ ก็จะดูไปถึงข้อมูลของสภาพอากาศ สภาพการจราจร และดูกระทั่งว่ามีกิจกรรมสำคัญ เช่น การแข่งขันกีฬาเกิดขึ้นในบริเวณนั้นหรือเปล่า ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปรับแต่งการตลาดให้เข้ากับสภาพบริบทมากที่สุดที่จะส่งผลต่อการเพิ่มโอกาสขายตามมา ได้เรียนรู้ว่า Content Context บริบทในเนื้อหาการทำความเข้าใจ เนื้อหาแต่ละหน้ามีความสำคัญมากต่อการทำการตลาดแบบเข้าใจบริบท เพราะเนื้อหาแต่ละหน้าจะบอกให้รู้ว่าคนที่อ่านหน้าเว็บนี้ควรจะเห็นโฆษณาแบบไหน หรือแม้แต่โฆษณาแบบไหนที่ไม่ควรปรากฏให้เห็นเลยบนหน้าเว็บที่มีเนื้อหาแบบนี้ สิ่งนี้จะย้อนกลับมาสู่จุดตั้งต้น ได้เรียนรู้ว่าบทสรุปของการตลาดแบบ Contextual Marketing ก็จะพบว่า การตลาดที่ดีและการตลาดในยุคใหม่ต่อจากนี้จะไม่เน้นการขัดจังหวะกวนใจลูกค้า แต่จะเน้นไปที่การทำความเข้าใจลูกค้าให้มากที่สุดว่าลูกค้ากำลังอยู่ในบริบทแบบไหน พวกเขากำลังสนใจอะไร พวกเขาสะดวกรับสารแบบใด จากนั้นเราก็ส่งเสริมในบริบทความสนใจของลูกค้า โดยปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ ด้วยการนำเสนอขายให้เข้ากับบริบทต่าง ๆ เช้าขายแบบหนึ่ง เย็นขายอีกแบบหนึ่ง คนในจังหวัดนี้ขายแบบหนึ่ง คนที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นขายอีกแบบหนึ่ง วันธรรมดาขายแบบหนึ่ง ส่วนวันหยุดก็ขายอีกแบบหนึ่ง คนที่เข้าหาเราผ่านคอมพิวเตอร์ที่บ้านก็เสนอขายแบบหนึ่ง ส่วนคนที่เข้าหาเราผ่านโทรศัพท์มือถือและอยู่ใกล้ร้าน ภายในเล่มจะมีการยกตัวอย่างการตลาดแบบ Contextual Marketing จากต่างประเทศมาอธิบายที่มาที่ไปแบบละเอียดชัดเจน เพื่อยกระดับการทำการตลาดให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงจุดมากขึ้น แล้วเราสามารถปรับใช้กับการทำงานด้านการตลาดของเราเองได้ด้วย เรื่องแบบนี้อาศัยความคิดสร้างสรรค์พอสมควร จะเอาตัวอย่างที่หยิบยกไปลอกเลียนแบบตรงตัวไม่ได้เลย แต่หากได้ศึกษา Contextual Marketing อย่างต่อเนื่องก็เชื่อได้ว่าการตลาดของเราจะสัมฤทธิ์ผลในบริบทที่เหมาะกับสินค้าของเราได้ครับ เครดิตภาพ ภาพปก โดย ijeab จาก freepik.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย rawpixel.com จาก freepik.com ภาพที่ 4 โดย coolvector จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูด รีวิวหนังสือ MARKETING 5.0 การตลาด 5.0 เพื่อมวลมนุษยชาติ รีวิวหนังสือ DIGITAL MARKETING UNLOCKED ปลดล็อกการตลาดดิจิทัล รีวิวหนังสือ ECONOMIX เศรษฐกิจสะกิดสมอง โดย Michael Goodwin รีวิวหนังสือ มือใหม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ (Economics for Beginners) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
Watcharapon • 10 ม.ค. 68
อ่าน
การตลาดเพื่อสังคม (Social Marketing) เทรนด์การตลาดยุคนี้ ตอนที่ 1
(Photo by Tim Marshall on Unsplash)การตลาดตัวหนึ่งที่เริ่มจะมีผู้คนให้ความสนใจมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา หลังจาการตลาดสีเขียว (อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม) จุดติดขึ้น นั่นก็คือ การตลาดเพื่อสังคม (Social Marketing) นั่นเอง (ไม่ใช่พวก Social Media Marketing นะครับ) หรือที่เราเรียกว่าความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ซึ่งผู้ประกอบการในบ้านเราหลายที่นั้น ได้ปฏิบัติกันมานานแล้ว แต่อย่างที่บอกไปจากการตื่นตัวของการตลาดสีเขียวดังกล่าว ทำให้การตลาดเพื่อสังคมถูกนำใช้ควบคู่กันไปด้วย เราจะไปดูกันว่า การทำการตลาดเพื่อสังคม นอกจากทำการการตลาดสีเขียวแล้ว ยังสามารถทำอะไรเพื่อตอบแทนกลับคืนสู่สังคมได้บ้างอีก...(Photo by Lucian Petronel Potlog from Pexels)การตลาดเพื่อสังคม (Social Marketing)การตลาดนอกจากจะเป็นพระเอกเพราะมีบทบาทในการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้ธุรกิจเจริญเติบโตแล้ว ในมุมกลับการตลาดก็ถูกมองว่าเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของทุนนิยม โดยการสร้างวัฒนธรรมบริโภคนิยม รวมถึงวัตถุนิยมขึ้นมาจนมากเกินพอดี บางครั้งก็กระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคให้มีความต้องการในสิ่งที่ไม่จำเป็น(Photo by Andrea Piacquadio from Pexels)จนดูเหมือนว่าจะสวนทางกับกระแสการฟื้นฟูวิกฤตสังคมในเวลานี้ซึ่งเป็นยุคที่จิตสำนึกเพื่อส่วนรวมของคนในสังคมถูกปลุกขึ้นมาจากปัญหาและวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ ความเสื่อมทางด้านคุณธรรม จริยธรรม ปัญหาการเมือง และความเหลื่อมล้ำต่าง ๆแล้วการตลาดจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาสังคมได้อย่างไร ?คำตอบก็คือ หากมองว่าการตลาดเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งแล้วก็ช่วยได้อย่างแน่นอน เพราะการตลาดจะช่วยให้การสื่อสารและการทำกิจกรรมต่าง ๆ กับคนในสังคมทำได้อย่างตรงเป้าหมายและสัมฤทธิผล ดังนั้นการตลาดจึงไม่ได้ช่วย ส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการบริโภคโดยไม่ยั้งเท่านั้น แต่ยังช่วยปลุกจิตสำนึกที่ดีและความยั้งคิดให้กับผู้บริโภคได้ในอีกมุมหนึ่งครับ(Photo by Akil Mazumder from Pexels)ในส่วนขององค์กรธุรกิจก็หันมาให้ ความสนใจในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมก็มีอยู่หลายวิธี เช่น การดูแลแหล่งน้ำ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปลูกป่า การช่วยเหลือด้านการศึกษาให้กับผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น อย่างไรก็ดีจุดมุ่งหมายขององค์กรธุรกิจโดยทั่วไปนั้นก็คือ การสร้าง ผลกำไร การทำกิจกรรม CSR จึงเป็นการแสดงความรับผิดชอบ และทำสิ่งดี ๆ เพื่อคืนกลับสู่สังคมบ้างเท่านั้นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise เข้ามาตอบโจทย์องค์กรธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสังคมในด้านต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร (Nonprofit Organization) หรืออาจเป็นองค์กรธุรกิจที่แสวงผลกำไรก็ได้ แต่กำไรนั้นมีเป้าหมายเพื่อหล่อเลี้ยงองค์กรให้ดำเนินอยู่ได้เพื่อช่วยเหลือสังคมในด้านต่าง ๆ ต่อไป ดังนั้นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมที่ประสบความสำเร็จนั้นจึงถือว่าได้กำไรถึงสามต่อ คือได้ทั้งผลตอบแทนทางการเงิน ผลตอบแทนด้านสังคมของเรา และสิ่งแวดล้อมของโลกอีกด้วย(Photo by fauxels from Pexels)รูปแบบของ Social Enterprise หรือองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมนี้ดูจะเป็นรูปแบบที่ลงตัวสำหรับผู้ประกอบการที่มีจิตสาธารณะ ต้องการทำความดีเพื่อสังคม เพราะเป็นรูปแบบที่สามารถทำได้อย่างยั่งยืน เหมือนเป็นสะพานที่เชื่อมช่องว่างระหว่างองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไรกับธุรกิจทั่วไปที่เน้นกำไรสูงสุด เพราะอย่างน้อยก็ยังสามารถเลี้ยงองค์กรให้ดำเนินอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินสนับสนุนหรือเงินบริจาคแต่เพียงอย่างเดียว เรียกว่าทำเพื่อสังคมได้โดยไม่ต้องกินแกลบครับครั้งต่อไปเราจะมาดูตัวอย่างองค์ธุรกิจในเมืองไทยที่ตั้งตัวเองขึ้นมาเป็น Social Enterprise กันบ้างครับ ว่าเขามีการจัดการกันอย่างไรที่ทำให้องค์กรทำเพื่อสังคมแล้วยังได้ในแง่ของการทำธุรกิจด้วยติดตามความรู้เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่น่าสนใจได้ที่ นิยมเล่าเป็นเรื่องเจ้าของเว็บไซต์ : Business Connection Knowledge
NiYom • 4 พ.ค. 63
อ่าน
6 เทคนิค ปรับแต่งธุรกิจให้เหมาะกับยุคสมัย (Tune in Marketing) ตอนที่ 1
หลังจากการมาเยือนของโควิด-19 ทำให้ภาพของการดำเนินธุรกิจต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปหมด ธุรกิจที่ว่าดี ที่ว่าเข้มแข็ง ยังโดนเชื้อโควิด-19 เข้าไป จนถึงกับไปต่อไม่ได้เลยก็มี เพราะฉะนั้น การทำธุรกิจต่อจากนี้ นอกจากในเรื่อง New Normal เรื่องสุขลักษณะที่เราต้องเตรียมการมากขึ้นแล้ว มีหลายอย่างที่ล้วนส่งผลกระทบกับการดำเนินงาน รวมทั้ง พฤติกรรมของลูกค้าของเราที่ถึงทุกวันนี้ อาจจะไม่ใช่คนที่เรารู้จักอย่างแท้จริงอีกแล้ว (เพราะเธอนั้นได้เปลี่ยนไปเพราะ โควิด-19 เช่นเดียวกัน) วันนี้ จึงเอา 6 เทคนิค ที่เราจะใช้เพื่ทบทวนลูกค้าเรา เพื่อจะได้ปรับแต่งธุรกิจของเรากันใหม่ครับ6 เทคนิค ปรับแต่งธุรกิตให้เหมาะกับยุคสมัย (Tune in Marketing) เทคนิคที่ 1 ต้องหาปัญหาที่ยังไม่มีการแก้ไขเทคนิคที่ 2 ต้องเข้าใจคนซื้อเทคนิคที่ 3 คำนวนผลกระทบในสิ่งที่เราทำลงไปเทคนิคที่ 4 ให้สร้างประสบการณ์ที่ฉีก แหวกแนวให้กับลูกค้าเทคนิคที่ 5 มีไอเดียที่พรั่งพรูเทคนิคที่ 6 สร้างการเชื่อมต่อที่แน่นแฟ้นให้เกิดขึ้นกับลูกค้าเราลองไปดูรายละเอียดแต่ละเทคนิคกันเลยครับเทคนิคที่ 1 ต้องหาปัญหาที่ยังไม่มีการแก้ไขต้องเป็นคนที่ช่างสังเกตุ ดูถึงสภาพแวดล้อมการเปลี่ยนแปลงของตลาด แล้วอะไรที่คุณควรจะโฟกัส ซึ่งเวลาเรามองปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข อย่าไปมองเฉพาะแต่ฐานลูกค้าเรา เพราะมันจะแคบ แต่จงมองไปทั้งตลาด โดยในแต่ละตลาดจะมี คน 3 ประเภท คือประเภทที่ 1 คือ กลุ่มลูกค้าเรา จะมีประมาณ 30%ประเภทที่ 2 คือ กลุ่มผู้ประเมิน ประมาณ 10% ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่กำลังประเมินสินค้าเราอยู่ เหมือนกับกำลังดูของเราอยู่ ศึกษาอยู่ ซึ่งเราต้องค้นให้เจอว่า อะไรที่เขายังติดอยู่ หรือลังเลใจอยู่ว่าจะซื้อไม่ซื้อสินค้าของเราประเภทที่ 3 คือ กลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพเข้าเป็นลูกค้า non customer ประมาณ 60-70% ซึ่งธุรกิจจะต้องใช้เวลากับคนกลุ่มนี้ให้มากที่สุด เราต้องหาให้ได้ว่าอะไรเป็นปัญหาของเขา บางครั้งจึงต้องออกสินค้ามากมายเพื่อครอบคลุมกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ แต่วิธีที่ดีที่สุด คือ การได้ไปพูดคุย แต่ไม่ใช่คุยตอนที่เขากำลังซื้อสินค้าเราอยู่ โดยใช้พนักงานขายที่เป็นเหมือนการสัมภาษณ์ เราจะทำให้ลูกค้าลูกสึกอึดอัด แต่จะเป็นการ Focus Group ลงไปก่อนว่า ลูกค้ากลุ่มนี้น่าจะมีศักยภาพ ซึ่งโดยปกติแล้วอาจจะใช้งานสัมมนา อีแวนท์ต่างๆ แต่ตอนนี้อาจจะยังไม่เหมาะ งั้นเราก็ต้องหันมาใช้ Social Media ทั้งหลายในการเข้าถึง พูดคุยกับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวให้มากขึ้น เทคนิคที่ 2 เข้าใจตัวตนของผู้ซื้อประเด็นสำคัญ คือต้องระบุให้ได้ว่าใครเป็นคนซื้อของเราการเข้าใจตัวตนของผู้ซื้อ จะเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อพัฒนาความรู้สึกในเชิงลึกกับลูกค้าได้จริงๆ เพื่อจะได้ไปแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างถูกต้อง ตรงจุดแตกกลุ่มลูกค้าออกมาให้มันแตกต่างชัดเจน จงทำความเข้าใจว่าปัญหาอะไรที่เขามี เมื่อรู้บุคลิกลูกค้าแล้ว ตั้งชื่อให้แต่ละกลุ่ม เพื่อแบ่งแยกลูกค้าได้อย่างชัดเจนเก็บข้อมูลทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งอาจจะอาศัยเทคโนโลยีเข้าช่วยโดยเมื่อเราเก็บข้อมูลลูกค้า หรือ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียดเรียบร้อบแล้ว ต่อจากนั้นก็มาถามว่า อะไรคือปัญหาของคนกลุ่มนั้น เราจะแก้ไขอย่างไร แล้วเขาจะยอมจ่ายให้สินค้าของเราหรือไม่ในการแก้ปัญหา นอกจากนี้ เราต้องรู้ว่าสินค้าในอุดมคติของลูกค้ากลุ่มนี้อย่างไร แล้วเราจะไปถึงลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างไร เพราะการระบุปัญหาที่ไม่เคยเจอ เราต้องรู้จักตัวตนคนๆ นั้น (Buyer Persona) จริง จึงจะสามารถตอบคำถามของปัญหาได้ซึ่งในขั้นตอนนี้ ประเด็นสำคัญ คือ เราต้องเข้าใจลูกค้าให้ทะลุปรุโปร่ง ต้องเข้าใจเกี่ยวกับลูกค้าให้มากที่สุด และต้องเรียนรู้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลูกค้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เทคนิคที่ 3 ประเมินผลในสิ่งที่เราทำลงไปเมื่อเรารู้ลึกถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รู้ถึงปัญหาและหนทางแก้ไขปัญหาให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้ว เราต้องมาประเมินผลในสิ่งที่เราทำไป เมื่อเราออกสินค้าออกมาแล้ว ขายได้หรือไม่ วัดว่า รายได้ รายจ่าย กำไร เท่าไหร่ คาดการณ์ออกมาให้ได้ ซึ่งอาศัย เกณฑ์ 3 ข้อปัญหาที่เราจะไปแก้ให้ลูกค้านั้น เร่งด่วนหรือเปล่ามีลูกค้าจำนวนมากหรือไม่ ที่เกิดปัญหานี้ลูกค้ายอมจ่ายหรือไม่ ไว้คราวหน้าเราจะมาดูกันในส่วนอีก 3 เทคนิคที่เหลือนะครับยังมีข้อคิดการดำเนินธุรกิจที่น่าสนใจ ลองตามไปอ่านได้ที่ นิยมเล่าเป็นเรื่องเจ้าของ Blog Business Connection Knowledgeเครดิตรูปทั้งหมดรูปที 1 (Photo by Negative Space from Pexels)รูปที่ 2 (Photo by Gustavo Fring from Pexels)รูปที่ 3 (Photo by Evgeni Tcherkasski on Unsplash)รูปที่ 4 (Photo by Blake Wisz on Unsplash)รูปที่ 5 (Photo by Lukas from Pexels)
NiYom • 11 มิ.ย. 63
อ่าน
ฟู้ดแพชชั่น ดึงกลยุทธ์ Insight Marketing ทำตลาด ผนึกบาร์บีคิวพลาซ่า-เรดซัน ส่งเมนู "กุ้งดองซีอิ๊วเกาหลี เดอะซีรีส์" เจาะ Gen Z
บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการสร้างโอกาสทางการตลาด กลุ่มธุรกิจอาหาร ฟู้ดแพชชั่น เปิดเผยว่า บริษัทฯได้นำ 2 แบรนด์ร้านอาหาร ได้แก่ บาร์บีคิวพลาซ่า และ เรดซัน ร่วมทำโปรโมชั่นเจาะกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ Gen Z สายเกาหลี กับเมนูสุดฮิต กุ้งดองซีอิ๊วเกาหลี ที่มากับดีลเอ็กซ์คูลซีฟ มอบส่วนลดให้ลูกค้าและสมาชิก Gon Gang ตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ ในราคาเริ่มต้น 199 บาท และชุดคูปองส่วนลดมูลค่ากว่า 1,500 บาท สามารถนำไปใช้ได้ที่ร้านเรดซันทุกสาขา (จำนวนจำกัด 100,000 สิทธิ์) ครั้งนี้ถือเป็นการผนึกกำลังของสองแบรนด์ในเครือฟู้ดแพชชั่น ด้วยการเปิดตัวโปรโมชั่น กุ้งดองซีอิ๊วเกาหลี เดอะซีรีส์ ภายใต้แนวคิดการทำกลยุทธ์การตลาด Insight Marketing จากแบรนด์สู่แบรนด์ โดยการนำเมนูกุ้งดองซีอิ๊วเกาหลี ซึ่งเป็นโปรดักส์ไฮไลท์ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากเรดซัน มาจัดโปรโมชั่นเพื่อตอบโจทย์ต่อพฤติกรรมผู้บริโภค และแฟน ๆ บาร์บีคิวพลาซ่า เป็นการขยายฐานและเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ชาว Gen Z หัวใจเกาหลี สำหรับโปรโมชั่น กุ้งดองซีอิ๊วเกาหลี เดอะซีรีส์ มีให้เลือกฟิน 3 แบบ 3 สไตล์ ได้แก่ กุ้งดองซีอี๊วเกาหลี ฟินพิเศษจานเดี่ยว กุ้งคัดเกรดสดใหม่ ผ่านกรรมวิธีการปรุงรสสูตรลับฉบับเรดซัน เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดสุดแซ่บ ให้ความอร่อยฟินเต็ม ๆ คำ ตั้งแต่คำแรกที่ได้ชิม ราคา 279 บาท สำหรับสมาชิก Gon Gang ราคา 199 บาท กุ้งดองซีอี๊วเกาหลี ฟินควบยกเซ็ต (Combo 1) ชุดปิ้งย่างหมู ทานคู่กับกุ้งดองซีอี๊วเกาหลี พร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด ราคาชุดละ 379 บาท สามารถแลกซื้อเครื่องดื่มเป๊ปซี่รีฟิล 2 แก้ว ได้ในราคา 1 บาท และกุ้งดองซีอี๊วเกาหลี ฟินควบยกเซ็ต (Combo 2) ชุดปิ้งย่างเนื้อ ทานคู่กับกุ้งดองซีอี๊วเกาหลี พร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด ราคาชุดละ 399 บาท สามารถแลกซื้อเครื่องดื่มเป๊ปซี่รีฟิล 2 แก้ว ได้ในราคา 1 บาท และพิเศษสำหรับลูกค้าที่ทานในสาขาบาร์บีคิวพลาซ่า กทม., นนทบุรี, ปทุมธานี, นครปฐม และนครราชสีมา จะได้รับชุดคูปองส่วนลด 10 ใบ มูลค่ากว่า 1,500 บาท ไปฟินต่อที่ร้านเรดซันทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และสามารถใช้สิทธิ์คูปองได้ตั้งแต่วันนี้ 15 ธันวาคมนี้
มติชน • 3 พ.ย. 64
อ่าน
Thailand Marketing Day 2025 The Next Marketing Battle จัดทัพฝ่าสมรภูมิการตลาดยุคใหม่
Thailand Marketing Day 2025 The Next Marketing Battle จัดทัพฝ่าสมรภูมิการตลาดยุคใหม่เตรียมพบกับสุดยอดฟอรั่มการตลาดแห่งปี ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของผู้นำระดับประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะมาเผยกลยุทธ์การรับมือทุกความท้าทายในปี 2025 ที่เทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และสภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผัน นักการตลาดจึงต้องเตรียมพร้อมในทุกสนาม พบกันวันพุธที่ 8 มกราคม 2025 เวลา 09.00 17.15 น. ณ สามย่านมิตรทาวน์ งานนี้อัดแน่นด้วยเวทีเสวนา 8 sessions จากผู้นำจากทั้งภาครัฐและเอกชน มารับฟังทางรอดของธุรกิจและผู้ประกอบการไทยอย่างยั่งยืน และเตรียมคุณให้พร้อมรับมือกับปี 2025 ได้อย่างมั่นใจจาก🔸Be Prepared for the Next Marketing Battle โดย ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวต้อนรับทุกท่านเข้าสู่โลกการตลาดที่เปลี่ยนแปลง🔸 Thailand is Ready for the Challenges. โดย คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมฟังวิสัยทัศน์สำคัญกับมุมมองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการตลาด จับตาว่าประเทศไทยจะมุ่งหน้าไปในทิศทางใด🔸 Service Warfare: Winning the Tourism, Care Wellness Economy through Sustainable Innovation พลิกโฉมวงการท่องเที่ยวและสุขภาพด้วยนวัตกรรมความยั่งยืน - การท่องเที่ยวและ wellness ถือว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ไทยเป็นผู้นำในตลาดโลก พบกับแม่ทัพหญิงแกร่งแห่งวงการอย่าง แพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ CEO จากเครือ BDMS ผู้นำด้านความยั่งยืนของโลกในกลุ่มบริการทางการแพทย์ และคุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านท่องเที่ยว ที่จะมาเปิดเผยกลยุทธ์พัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมในมิติ ESGดำเนินรายการโดยดร.ดั่งใจถวิล อนันตชัย Executive Chairman, INTAGE (Thailand)🔸ฟันธงเทรนด์การตลาด 2025 Way Forward MAT X MAT CMO COUNCILs Predictionอ่านอนาคตของโลกการตลาดในปีที่กำลังจะมาถึง กับโพลของสมาคมการตลาดฯ ที่ร่วมโหวตโดยผู้บริหารระดับสูงจากกว่า 100 องค์กรที่ใช้การตลาดขับเคลื่อนความสำเร็จ นำเสนอโดยดร. สมชาติ วิศิษฐชัยชาญกรรมการบริหารและที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม นิด้า และ อุปนายกฝ่ายองค์ความรู้ด้านการตลาด และผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุลหัวหน้าภาควิชาการตลาด Chulalongkorn Business School และ อุปนายกฝ่ายกิจกรรม การสื่อสาร และการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดฯ🔸How to Conquer the Mega Businesses Battlefield เสวนาฉายภาพ megatrends สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2025 ที่เกี่ยวกับมุมมองทางการตลาด โอกาสและอุปสรรคสำหรับประเทศไทย จากเสาหลักด้านธุรกิจและการตลาดของไทย ได้แก่ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ คุณธวัชชัย ชีวานนท์ ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย และประธานผู้บริหาร Product Business Solutions ธนาคารกรุงไทยดำเนินรายการโดยคุณณัฏฐา โกมลวาทินผอ.ฝ่ายข่าว The Standard🔸ยุทธวิธีกู้วิกฤต: ปรับทัพ Retail สู้ศึกตัดราคายุค Online-Offline Blurกลยุทธ์การแข่งขันในตลาด Online-Offline ที่ต้องปรับตัวตั้งแต่การบริหารต้นทุน ผลิตภัณฑ์ ราคารวมถึงการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้วย Omni-Channel จากคุณวีรธรรม เสถียรธรรมะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CJ More และคุณกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยดำเนินรายการโดยคุณบังอร สุวรรณมงคล CEO Founder, Hummingbirds Consulting🔸 Survival Mandate: Regenerative Marketing as the Only Path Forward ทางรอดของธุรกิจนอกจาก Sustainable แล้วต้อง Regenerative พบกับกรณีศึกษาการทำการตลาดแบบยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จ การสร้าง Brand Purpose ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่จาก ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ และคุณวชิระชัย คูนำวัฒนา Net Zero Accelerator Director จาก SCGดำเนินรายการโดยผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล🔸Creative Nation: Thai Entertainment - Soft Power that Makes Thailand in Focus ซอฟต์พาวเวอร์แบบใด...พาไทยบุกตลาดโลกฟังประสบการณ์ตรงจากคุณภาวิต จิตรกรCEO GMM Music ผู้สร้างศิลปินไทยให้โกอินเตอร์ มีแฟนคลับต่างชาตินับล้าน และคุณยงยุทธ ทองกองทุนผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์ประจำประเทศไทยของ Netflix Thailand ผู้พา Content ไทยไปติดอันโลก🔸Victory or Death: Motto of Modern Entrepreneurial Generalsไม่เจ๋งก็เจ๊ง วัดใจแม่ทัพคนรุ่นใหม่ ปั้นแบรนด์ยังไงให้ปังเส้นทางความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่โตแบบก้าวกระโดดกับแบรนด์ดังอย่าง Her Hyness ที่มีคุณกัญญฉัชฌ์ เลิศธนไพบูลย์Founder and CEOคุณทนงค์ศักดิ์ แซ่เอี้ยวFounder CEO ผู้ปั้นแบรนด์เสื้อยืดพันล้านอย่าง Yuedpao (ยืดเปล่า) และคุณธัญย์ณภัคช์ ศิริประภาเจริญFounder CEO ผู้สร้างแบรนด์ Karun ชาไทยพรีเมี่ยมที่เอกลักษณ์ไม่เหมือนใครนอกจากนี้ยังจัดเต็มกับ 4 Workshop เข้มข้นครอบคลุมทุกมิติการตลาดยุคใหม่ Workshop 1: Maneuvering Mar-Tech as a Practical Weapon of Triumph for Marketers ติดอาวุธ MarTech ให้นักการตลาด(จำกัดเพียง 100 ท่าน ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า)โดยคุณสิทธินันท์ พลวิสุทธิ์ศักดิ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Content Shifu จำกัดWorkshop 2: Combat Training: Harnessing E-Commerce for Market Victory ซ้อมรบก่อนลงสนาม Commerce (จำกัดเพียง 80 ท่าน ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า) โดยคุณธัญญ์นิธิ อภิชัยโชติรัตน์ Co-Founder, Small World for Kids Co., Ltd. และ Facebook Alpha Tester, LINE Certified Coach พร้อมรับฟังเคล็ดลับจาก Top Seller ของแพลตฟอร์มดัง TikTok และ Shopee อย่างร้าน phayaayara และ atipaWorkshop 3: Transforming Insights of Next-Gen Consumers to Foresight with AI Enabler(จำกัดเพียง 50 ท่าน ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า) เวิร์กช็อปที่จะพาคุณเข้าสู่โลกของการวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมทั้งเรียนรู้การใช้เครื่องมือ AI ที่ง่ายต่อการใช้งาน ไม่ว่าคุณจะมีพื้นฐานหรือไม่ คุณจะได้เรียนรู้เทคนิคที่ช่วยให้แบรนด์เชื่อมต่อและสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคุณวรัทธน์ วงศ์มณีกิจChief Product Officer บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัดWorkshop 4: Affiliate Marketing Turns into Sales ชวนพันธมิตรติดตะกร้าพาปิดการขาย (จำกัดเพียง 80 ท่าน ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า) โดย คุณกรกานต์ แย้มสัตย์ธรรม Deputy Head of D2C-EC Enablement and Affiliate Business, AnyMind Thailand ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน ใน workshop นี้คุณจะได้เรียนรู้ การสร้างกลยุทธ์การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) ในมุมมองจากฝั่งแบรนด์ ที่จะช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง พร้อมเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เปลี่ยนการรับรู้ให้กลายเป็นยอดขาย การทำการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) ในมุมมองของครีเอเตอร์ เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างความต้องการของแบรนด์สู่การทำงานจริงของครีเอเตอร์ อันนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เสริมทัพด้วยการเทคโนโลยีสุดล้ำจาก AnyMind Group อย่าง AnyLive ที่ใช้ AI ในการไลฟ์ขายสินค้า (AI Live Streaming) ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายตลอด 24 ชั่วโมงให้กับร้านค้าของคุณ ประหยัดเวลา คุ้มค่า และลดค่าใช้จ่ายร่วมค้นหาแนวทางใหม่ในการเพิ่มยอดขาย พร้อมเวิร์กชอปที่คุณจะสามารถนำไปปรับใช้กับร้านค้าของคุณได้จริงงานนี้เหมาะกับใครผู้บริหารระดับสูงผู้ C-Levels, Top Executives ที่ต้องใช้วิสัยทัศน์นำทางองค์กรเจ้าของกิจการ Entrepreneurs ผู้ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง เติบโตผู้บริหารด้านการตลาดที่ต้องการ Reskill Upskillผู้บริหารด้านการตลาด ที่ต้องการปรับเปลี่ยนทั้ง Strategy Actionผู้ที่ต้องการเปิดมุมมองใหม่ ๆ ด้านธุรกิจและการตลาดดูรายละเอียดและซื้อบัตรได้ที่ https://bit.ly/MATMktDayMediaสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยคุณอัญชลี ชัยชนะวิจิตร ผู้อำนวยการบริหาร anchalee@marketingthai.or.th โทร 085-155-2314
TNN ช่อง16 • 3 ม.ค. 68
อ่าน
อิทธิพลของ Influencer Marketing
ข่าววันนี้ การแพร่ระบาดของโควิด เป็นเหมือนตัวเร่งการเติบโตของการตลาดแบบ Influencers ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่ใช่แค่ผู้คนจะมองหาคนทำคอนเทนท์ใหม่เท่านั้น แต่แบรนด์ต่าง ๆ ก็ศึกษา การตลาดแบบ Influencers เพื่อนำมาใช้ ให้เกิดเป้าหมายของตน โดยในช่วงที่มีมาตรการ lockdown รุนแรง ผู้คนที่ติดอยู่ที่บ้านจะใช้เวลาอยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์ก, เล่นเกมและดูพวก OTT (Over The Top เช่น Youtube , Netflix และ Platform อื่น ) การใช้เวลาออนไลน์มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้แบรนด์สินค้าต่าง ๆ ทำงานร่วมกับ กลุ่ม Influencers มากขึ้น เนื่องจากยอดการมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์ม เช่น YouTube, Facebook และ Instagram พุ่งสูงขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด ทำให้การบริโภคสื่อดิจิทัลสูงมากขึ้น การแพร่ระบาดได้กระตุ้นการใช้งานสื่อดิจิทัล รวมถึงการซื้อสินค้าออนไลน์สูงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะโตต่อไปในอนาคต ไม่เพียงแต่แบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับเท่านั้น แต่สตาร์ทอัพต่างก็ใช้กลยุทธ์การตลาดนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากสามารถเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์และดึงดูดผู้ชมจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ Influencers ยังสามารถกำหนดเป้าหมายไปยังตลาดเฉพาะกลุ่มที่สตาร์ทอัพมักมองหา ตัวอย่างเช่น บริษัท สตาร์ทอัพของ Influencer Marketing Agency ในประเทศไทย "ShareIt" เป็น บริษัทผู้นำ ด้านการตลาดแบบ Influencers และโซเชียลมีเดีย ที่ใช้ข้อมูลเชิงลึก ในการที่วางแผนและกำหนดกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่มีดี ระหว่างแบรนด์และผู้สร้างคอนเทนท์ เชื่อมโยงผู้ใช้งาน , แบรนด์ , ผู้สร้างคอนเทนท์ ได้อย่างง่ายดายด้วยการนำเสนอแพลตฟอร์มการตลาดที่ก้าวหน้าและใช้งานง่ายซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ShareIt มีแพลตฟอร์ม ให้ผู้ใช้ ใช้ในการทำกิจกรรมโซเชียลของตน โดยจากการวิจัยที่สำรวจมาพบว่า ปัจจุบันผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมง 22 นาทีต่อวัน บนโลกโซเชียลและแพลตฟอร์มการส่งข้อความ และข้อมูลนี้ยังบอกให้เห็นว่า การใช้งานโซเชียลมีเดียอาจถึงจุดอิ่มตัว แต่ในปี 2564 มีเทรนด์หนึ่งที่มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้น คือการเพิ่มขึ้นของ Influencers ระดับนาโนและไมโคร ส่วนใหญ่เกิดจากการมีส่วนร่วมที่สูง ต้นทุนต่ำและมีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากเปลี่ยนไปใช้การซื้อทางออนไลน์ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางจึงต้องพึ่งพา Influencers เนื่องจากสามารถแสดงการใช้งานและอธิบายถึงประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ได้ ในทำนองเดียวกัน ธุรกิจต่างๆกำลังใช้ Influencers เพื่อผลักดันการเข้าชมเว็บไซต์ของตน ด้วยลิงก์ในสตอรี่ของสื่อออนไลน์ต่างๆ และปัจจุบันผู้คนลดความสนใจในการชมภาพอย่างเดียว และหันมาสนใจวิดีโอมากขึ้นกว่าเดิม ผู้บริโภคต้องการได้รับการอัปเดตเกี่ยวกับชีวิตของ Influencers ซึ่งกำลังสร้างพื้นที่สำหรับการผสานรวมผลิตภัณฑ์กับชีวิตประจำวัน ที่แบรนด์ต่าง ๆ นำเข้ามา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ ที่เหมาะสำหรับการตลาดแบบ Influencers เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการตลาดรูปแบบนี้ โดยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากและเกือบ 90% เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนเป็นหลัก มูลค่าเศรษฐกิจจากอินเทอร์เน็ตในภูมิภาคนี้ โตขึ้นมากและภายในปี 2568 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ประมาณ 10,000 ล้านบาท) การที่เป็นภูมิภาคแรก ที่ใช้อุปกรณ์มือถือควบคู่ไปกับกลุ่มประชากรที่มีอายุน้อย และความนิยมที่เพิ่มขึ้นของแพลตฟอร์มโซเชียล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงกลายเป็นพื้นที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตลาดที่มี Influencers นอกจากนั้นภูมิภาคนี้ยังได้รับความสนใจจากทั่วโลกอย่างมาก ยังมีโอกาสที่สำคัญสำหรับแบรนด์ท้องถิ่นในการใช้ประโยชน์จากรูปแบบการตลาดนี้ ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเช่น Facebook, Instagram และ YouTube เป็นที่นิยมอย่างมากในภูมิภาคนี้และเป็นที่น่าสังเกตว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้ใช้ Tik Tok มากที่สุด คอนเท้นท์ รูปแบบวิดีโอสั้นใหม่ ๆ ที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงนี้ มีโอกาสมากมายในการกระตุ้นการมีส่วนร่วมเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์และเข้าถึงผู้ชมใหม่ ๆ สำหรับธุรกิจ อย่างไรก็ตามนักการตลาดต้องตามล่า Influencers ที่มีความเชื่อมโยงกับผู้ชมอย่างแท้จริง สรุปได้ว่าแบรนด์ต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยินดีที่จะลงทุนด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับแนวโน้มของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และการตลาดที่มี Influencers ก็จะยังคงเติบโตต่อไป -------------------- เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณคลิกเลย!! รู้ทันกันโควิด หรือกด*301*35# โทรออก
TNN Wealth • 27 พ.ค. 64
อ่าน
RABBIT ขาย “Diplomat PropCo”มูลค่า 2.69 พันลบ.คาดเสร็จ Q1/69
#RABBIT #ทันหุ้น-บริษัทแรบบิทโฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) หรือ RABBIT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า การประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 7/2568 ซึ่งได้จัดขึ้นในวันที่ 11 กันยายน 2568 ได้มีมติยกเลิกการเข้าทำธุรกรรมการจำหน่ายหุ้นสามัญในบริษัท Diplomat Prague RE s.r.o. (“Diplomat PropCo”) (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมผ่าน Lombard Real Estate GmbH (“LRE”) ในสัดส่วน 100% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) มูลค่าที่ตราไว้รวม 200,000 โครูนาเช็ก และภาระหนี้เงินกู้ยืมที่ Diplomat PropCoมีอยู่ทั้งหมดให้แก่ Hotel Diplomat s.r.o. และ/หรือนิติบุคคลอื่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ซื้อ (ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัทฯตามประกาศรายการที่เกี่ยวโยงกัน) (รวมเรียกว่า “ผู้ซื้อ”) ในราคาขายรวมจำนวน 67.5 ล้านยูโร หรือประมาณ 2,530,082,250 บาททั้งนี้ เนื่องจากธุรกรรมการจำหน่ายหุ้นของบริษัทย่อยในยุโรปดังกล่าวข้างต้นไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสุดท้ายกับผู้ซื้อได้ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้จำหน่ายหุ้นสามัญในบริษัท Diplomat PropCo และภาระหนี้เงินกู้ยืมที่ Diplomat PropCo มีอยู่ทั้งหมดให้แก่ PPF Real Estate s.r.o. และ/หรือนิติบุคคลอื่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ซื้อ (ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัทฯ ตามประกาศรายการที่เกี่ยวโยงกัน)(รวมเรียกว่า “ผู้ซื้อ”) ในราคาขายรวมจำนวน 73.0 ล้านยูโร หรือประมาณ 2,691,064,700 บาททั้งนี้ Diplomat PropCo มีทรัพย์สินที่สำคัญ ได้แก่ กรรมสิทธิ์ในโรงแรม Vienna House ® by WyndhamDiplomat Prague โดยมีห้องพักจำนวน 400 ห้อง ซึ่งตั้งอยู่ในสาธารณรัฐเช็ก (“ธุรกรรมการจำหน่ายหุ้นของ Diplomat”) ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะเข้าลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายหุ้น (Framework Agreement on the Terms and Conditions of the Transfer of Share) ภายในวันที่ 19 กันยายน 2568 และคาดว่าธุรกรรมการจำหน่ายหุ้นของ Diplomat จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/69
ทันหุ้น • 11 ก.ย. 68
อ่าน
เปิดตัวหลักสูตรออนไลน์ “Digital Marketing DNA” มาตรฐานความรู้ด้านสายงาน Digital Marketing ครั้งแรกของไทย
สมาคมโฆษณาดิจิทัล ประเทศไทย (DAAT) ร่วมกับ บริษัท ดิจิทัล ไอคิว จำกัด เปิดตัว หลักสูตรออนไลน์ Digital Marketing DNA บนแพลตฟอร์ม DIQ Academy ให้นักการตลาด และบุคคลทั่วไป สามารถเรียนออนไลน์ และการสอบยกระดับความรู้ด้านสายงาน Digital Marketing และกับ DAAT Score พร้อมรับใบประกาศนียบัตร ที่ออกและรับรองโดย สมาคมโฆษณาดิจิทัลประเทศไทย (DAAT) และ DIQ Academy เป็นครั้งแรกภาพจาก สมาคมโฆษณาดิจิทัล ประเทศไทย (DAAT) และ DIQ Academyหลักสูตร Digital Marketing DNA มีด้วยกันทั้งหมด 10 คอร์สเรียนที่ครอบคลุมในทุกองค์ความรู้ของการตลาดดิจิทัล สอนโดยผู้บริหารสายงานด้าน Digital Marketing จากเอเยนซี่โฆษณาชื่อดังของไทย ที่ได้ร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมโฆษณาดิจิทัล ประเทศไทย โดยแต่ละท่านมีประสบการณ์ด้านกลยุทธ์และการทำแคมเปญการตลาดและโฆษณาบนดิจิทัล นับหลายพันชั่วโมงให้กับแบรนด์ดังมากมายและเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมโฆษณาของไทยและต่างประเทศ ซึ่งได้มารวมตัวกันบนแพลตฟอร์ม DIQAcademy.com เพื่อยกระดับมาตรฐานความรู้ให้อุตสาหกรรมธุรกิจ การตลาด และโฆษณา ให้กับนักการตลาดไทย และบุคคลทั่วไปที่สนใจ ภาพจาก สมาคมโฆษณาดิจิทัล ประเทศไทย (DAAT) และ DIQ Academyภารุจ ดาวราย นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัลประเทศไทย (DAAT) และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ปับลีซิส กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า หลักสูตร Digital Marketing DNA จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการตลาดและโฆษณาดิจิทัลในประเทศ หลักสูตรนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าร่วมมีทักษะหลักและกลยุทธ์นวัตกรรมที่จำเป็นในสาขาการตลาดและโฆษณาดิจิทัล ตั้งแต่ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหลักการการตลาดดิจิทัลไปจนถึงทักษะขั้นสูงในการวิเคราะห์ กลยุทธ์ ดาต้า และกฎหมาย ซึ่งถูกพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานและความคาดหวังของอุตสาหกรรม หลักสูตรนี้จึงเป็นมากกว่าเพียงใบประกาศนียบัตรที่มอบให้ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพ สำหรับผู้ที่ปรารถนาจะเป็นมืออาชีพด้านการตลาดดิจิทัล เพื่อช่วยผลักดันขีดจำกัด สร้างนวัตกรรม และขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมไปข้างหน้าภาพจาก สมาคมโฆษณาดิจิทัล ประเทศไทย (DAAT) และ DIQ Academyณธิดา รัฐธนาวุฒิ ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร สถาบันการเรียนรู้อัพสกิลแห่งใหม่ DIQAcademy.com บริษัท ดิจิทัล ไอคิว จำกัด กล่าวว่าหลักสูตรนี้ ไม่เพียงเป็นการเสนอหลักสูตรทางด้านการการตลาดเท่านั้น แต่ยังออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างและยกระดับอุตสาหกรรมการตลาดและโฆษณาให้สูงขึ้นอีกขั้น กับการได้เรียนและสอบวัดระดับความรู้กับ DAAT Score เพื่อวัดมาตรฐานความรู้ของผู้เรียน พร้อมๆกับการรับใบประกาศนียบัตร ที่ออกและรองรับโดย สมาคมโฆษณาดิจิทัลประเทศไทย (DAAT) และ DIQ Academyคอร์สเรียน และหลักสูตรถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และผสมผสานความรู้ทฤษฎีกับการประยุกต์ใช้ในโลกแห่งความจริง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนไม่เพียงแต่เข้าใจแนวคิดเท่านั้น แต่ยังรู้วิธีการนำไปใช้ในชีวิตการทำงานอย่างมีประสิทธิผล โดยเฉพาะหลักสูตร Digital Marketing DNA นี้จะช่วยสร้างผู้นำที่สามารถนำทางความซับซ้อนของการตลาดดิจิทัลด้วยความมั่นใจ มีความเชี่ยวชาญ และเป็นที่ยอมรับสำหรับสมาชิกสมาคมโฆษณาดิจิทัลประเทศไทย องค์กรต่าง ๆ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดสำหรับการเข้าร่วมเรียนได้ บนแพลตฟอร์ม DIQAcademy.comข้อมูลจาก ข่าวประชาสัมพันธ์ สมาคมโฆษณาดิจิทัล ประเทศไทย (DAAT) และ DIQ Academy
TNN ช่อง16 • 16 ก.พ. 67
ดูเพิ่มเติม